ตำนานการกินเจ
การกินเจ มีมาตั้งแต่บรรพกาล ซึ่งชาวจีนถือปฎิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาช้านาน
เทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 นับตามปฏิทินจีน ซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเราตามตำนานเล่าว่า เมื่อเล่าจื๊อ ศาสดาแห่งลัทธิเต๋าเกิดขึ้นได้ถือพรตของลัทธิเต๋าแต่นั้นมา
เมื่อก่อนนั้น การกินเจไม่มีการกำหนดว่าจะกินกันเมื่อไร แต่ถือเอาความสะดวกของผู้กิน จะกินวันไหน เดือนไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนนิยมกินเจในช่วงไว้ทุกข์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการปฎิบัติตนในทางที่ดีงาม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย
ต่อมาเมื่อเกิดกบฏไท้เผ้ง ซึ่งชาวจีนได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านและหวังกอบกู้แผ่นดินจากพวกแมนจู ผู้ก่อการกบฏ ถูกจับประหารชีวิต ยังความโศกเศร้าเสียใจให้กับชาวจีน จึงร่วมกันปฎิบัติธรรม โดยกินเจและถือศีล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ถูกประหารชีวิต การกินเจจึงถูกกำหนดให้เป็นเทศกาลตั้งแต่นั้นมา
เมื่อถึงเทศกาลกินเจ ชาวจีนจะนุ่งขาวห่มขาว เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสจากโลกภายนอก ถือศีล กินเจ โดยปฏิบัติดังนี้
- งดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นเหตุให้ไม่ต้องแสวงหาเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อชีวิตสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในทุกกรณีรวมทั้งน้ำนมและน้ำมัน ที่มาจากสัตว์อีกด้วย
- รักษาศีลห้าและรักษาพรหมจรรย์
- ทำบุญทำทาน
- รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์
- แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีขาว
- งดเว้นผักที่ให้กลิ่นแรงต่าง ๆ เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย เพราะถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์
เมื่อการกินเจกำหนดเป็นเทศกาลขึ้น และมีกำหนดถึง 9 วัน ทำให้เทศกาลกินเจขยายใหญ่ขึ้นทุกที จนกลายเป็นงานที่ใหญ่และสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวจีน งานการกุศลต่าง ๆ จึงมารวมกันในเทศกาลนี้ เช่น การทิ้งกระจาด การลอยกระทง สิ่งเหล่านี้ถูกนำเข้ามาทีหลังเพื่อเสริมให้เทศกาลกินเจดูยิ่งใหญ่ขึ้น
เทศกาลกินเจของเมืองไทย
ย่างเข้าเดือน 9 ของทุกปี เราจะเห็นตามร้านอาหารทั่วไปปักธงสีเหลืองเต็มไปหมด นั่นหมายถึงการเข้าสู่เทศกาลกินเจของคนจีนที่ปวารนาตนจะงดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ พร้อมทั้งถือศีลทำบุญทำทานเป็นเวลา 9-10 วัน เพื่อเป็นการชำระทั้งร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์
ประเพณีการกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฎิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เชื่อว่าเป็นการประกอบพิธีกรรม เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ประชาชนถวายพระนามว่า “เก้าอ๊วง” ซึ่งเทพทั้งเก้าของชาวพุทธมหายาน อันได้แก่
- พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ ปรากฏตนเป็นพระอาทิตย์ จีนเรียก “ไท้เอี้ยงแซ”
- พระศรีรัตนะโลกประภาโฆษอิศวรพุทธะ ปรากฏตนเป็นพระจันทร์ จีนเรียก “ไท้อิมแซ”
- พระเวปุลลรัตนโลกสุวรรณพุทธะ ปรากฏเป็นดาวอังคาร จีนเรียกว่า “ฮวยแซ”
- พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ ปรากฏเป็นดาวพุธ จีนเรียกว่า “จุ้ยแซ”
- พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธ ปรากฎเป็นดาวพฤหัสบดี จีนเรียกว่า “บักแซ”
- พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ ปรากฎเป็นดาวศุกร์ จีนเรียกว่า “กินแซ”
- พระเวปุลลจันทร์โลกไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ ปรากฎเป็นดาวเสาร์ จีนเรียกว่า “โท้วแซ”
- พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการโพธิสัตว์ ปรากฎเป็นดาวราหู จีนเรียกว่า “ล่อเกาแซ”
- พระศรีเวปุลลสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ ปรากฎเป็นดาวเกตุ จีนเรียกว่า “โกยโต้วแซ”
ในพิธีกรรมสักการบูชาพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์นี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาต่างสละเวลาและกิจทางโลกมาบำเพ็ญศีล ตั้งปณิธานกินเจ บริโภคแต่อาหารผลไม้ งดเว้นอาหารเนื้อสดของคาวด้วยการสมทานรักษาศีล และเพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา ใจ ต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อย พากันเดินทางสู่วัดอารามพร้อมด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ไปนมัมสการน้อมบูชา แด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ 2 พระองค์ พร้อมจัดหาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปทรงเสื้อผ้า, หมวก, รองเท้า, กระดาษเงินกระดาษทองต่าง ๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ เป็นกุศลสมาทาน
ดั้งนั้นเชื่อกันว่า ในช่วงนี้ถ้าใครถือศิลกินเจพร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอพรอันใดก็จะได้สมปรารถนา นอกจากนี้ คนที่กินเจยังนิยมไปไหว้เจ้าตามศาลเจ้าเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง ซึ่งศาลเจ้าในกรุงเทพฯ ที่ตนนิยมไปไหว้ อาทิ วัดเล่งเน่ยยี่ (วัดมังกรกมลาวาส), ศาลเจ้าไต้ฮงกง ตรงข้าม สน.พลับพลาไชย, โรงเจชิกเชี้ยม่า ตลาดน้อย, โรงเจเตี่ยชูหั้ง สำเพ็ง เป็นต้น
ชาวไทยเชื้อสายจีนที่ภูเก็ต มีธรรมเนียมการกินเจที่กลายเป็นงานที่เอิกเกริก เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น และเป็นจุดดึงดูดทางการท่องเที่ยวของภูเก็ตไปพร้อมกัน โดยชาวจีนถือศิลกินเจกันในเดือน 9 ก็เพราะเชื่อว่าเป็นห้วงยามที่เทพเจ้าทั้ง 9 จะเสด็จออกโปรดสัตว์บนโลกมนุษย์ แต่ดวงวิญญาญของเทพเจ้าไม่สามารถติดต่อกับมนุษย์ได้โดยตรง เว้นเสียแต่ผ่าน “ร่างทรง” หรือ “ม้าทรง” ซึ่งก็คือบุคคลที่เทพเจ้าเห็นเหมาะสมจะนำวิญญาณของพระองค์เข้าครอบครองร่างนั้นชั่วขณะหนึ่ง เพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ในการกระทำกิจใด ๆ บนโลกมนุษย์ โดยเฉพาะการออกโปรดสัตว์
เทพเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ของชาวพุทธฝ่ายมหายานนั้น ทรงมีอิทธิฤทธิ์ และมีศาสตราวุธสำหรับคุ้มครองมนุษย์ต่างๆ กันไป บ้างถือแซ่ บ้างถือเหล็กแหลม ลูกตุ้มหนาม มีด หอก ดาบ และกริช เมื่อเสด็จออกโปรดสัตว์ผ่านร่างของม้าทรงในเทศกาลกินเจ จึงต่างแสดงอภินิหารให้เป็นที่ปรากฏ ภาพที่เราเห็นม้าทรงกระทำทุกข์ทรมานร่างกายแท้ที่จริงคือ เทพเจ้าแสดฤทธิ์เดช และรับเอาความเจ็บปวดนั้นไปแทนจึงปรากฏเรื่องเล่าอยู่เสมอว่า บาดแผลของเหล่าม้าทรงจะหายไปในเวลาไม่นาน กระทั่งบางร่างทรงตัดลิ้นตนเองขาดไปนานนับชั่วโมง ก็ยังสามารถต่อลิ้นกลับไปได้ดังเดิม
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมาเป็นม้าทรงได้ ขึ้นอยู่กับการบัญชาของเทพเจ้า บางคนมีประวัติว่าตกต้นไม้สูงลงมาแต่ไม่ตาย พอฟื้นจากสลบก็รู้ตัวว่าเทพเจ้ามาช่วยชีวิตไว้ จึงต้องรับใช้เทพเจ้าด้วยการเป็น “ม้าทรง” แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาจะต้องรักษากายใจให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ แน่นอนว่าจะต้องเคร่งครัดกว่าคนธรรมดา มิฉะนั้นเทพเจ้าก็อาจเลิกใช้ร่างนี้เป็นม้าทรงอีกต่อไป
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของความเชื่อถือศรัทธา ที่ยากจะพิสูจน์ให้กระจ่างชัดได้ดั่งการพิสูจน์ทฤษฎีบทเรขาคณิต หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ชาวภูเก็ตรู้เพียงแต่ว่า พลังแห่งศรัทธานี้ได้หล่อเลี้ยงขวัญและกำลังใจพวกเขามาแต่ครั้งพรรพชน จนแม้เมื่อถึงยุคที่คอมพิวเตอร์มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต พวกเขาก็ยังคงสืบทอดศรัทธานี้ไว้อย่างมั่นคง
บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน (ข้อมูลเมื่อ ปี พ.ศ. 2547) คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้งนี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด และหันมาบริโภคแต่ผักผลไม้นั้น จะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า “การล้างพิษ” ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
ตัวอย่างเมนูอาหารเจ
|
|
|
|
|
|
ประโยชน์ของการกินเจ ในมุมมองที่แตกต่าง
ประโยชน์ของการกินเจทุกคนไม่จำเป็นต้องมองแง่เดียวกัน การปฏิบัติในการกินเจก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด เพียงแต่ยึดหลักที่เป็นหลักสำคัญในการกินเจไว้ก็เพียงพอแล้ว คือ การงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ เลือกกินเฉพาะพืช ผัก ผลไม้ ซึ่งในส่วนนี้เกิดจาก แง่มุมมองการกินเจบนปลายทางของผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปจะมีการมองประโยชน์ของการกินเจในมุมมองต่อไปนี้
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของศาสนา
มุมมองของศาสนา จะมองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของชีวิตและจิตใจ ได้แก่
- บังเกิดเมตตาจิต เกิดความสงบ สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โมโหง่าย ดวงธรรมญาณอันบริสุทธิ์จะปรากฏออกมา ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ
- ทำให้มีสติมั่งคง มีสมาธิแน่วแน่ ไม่ประมาทเลินเล่อ เป็นประโยชน์ ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงาน สามารถรอดพ้นจากภัยต่างๆ เช่น ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ ภัยจากเคราะห์กรรม เมื่อวิญญาณออกจากร่างก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี
- หยุดการทำบาป ตัวเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท ทำให้ปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร
- หลังจากกินเจต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานาน สิ่งไม่ดีจะถูกขับออกไป ความรู้สึกขุ่นมัวมืดมนจะหมดไป ความสดใสจะปรากฏขึ้นในจิตใจถ่ายทอดออกไปสู่ใบหน้าให้มีความสะอาดสดใส
- ผู้ที่กินเจ รวมทั้งครอบครัวและบุตรหลาน และคนในปกครองจะเกิดความรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้เกิดอยู่ในดินแดนอารยะ มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากการทำร้าย รบราฆ่าฟัน ไม่มุ่งร้ายทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน
- ทำให้จิตสะอาดไม่ฟุ้งซ่าน จิตที่สะอาดจะทำให้มองเห็นกายอันแท้จริง สามารถสู่นิพพานได้ในที่สุด
- เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความคุ้มครองอารักขา ไม่ให้สิ่งเลวร้ายหรือวิญญาณชั้นต่ำเข้ามาทำร้าย
ผู้ที่มองประโยชน์ของการกินเจในแง่ของศาสนา จะมีการปฎิบัติที่เคร่งครัดกว่าการมองประโยชน์ของการกินในแง่อื่น ซึ่งมักจะให้ผลที่สามารถมองเห็นได้อย่างเกินคาด เกินความคิดคำนึงพื้นฐานของคนทั่วไป เช่น การลุยไฟ การใช้เหล็กเสียบแทงตนเองหรือม้าทรงต่าง ๆ ในเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดตรัง นั่นคือความเชื่ออันแรงกล้าทำให้เกิดสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสมอ
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
- ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย
- ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร
- หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด
- ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้
- อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ
อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
อวัยวะเสริมทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี - ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่น ๆ มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และการทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
ในทางการแพทย์ การกินเจมีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์ และมองเห็นได้จัดเจนกว่าประโยชน์ในทางศาสนา เป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองทางด้านโภชนาการ
การกินเจมักจะมีคนสงสัยว่า ได้อาหารครบ 5 หมู่หรือไม่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าโปรตีนในพืช ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกัน และโปรตีนในถั่วยังมีถึง 10 ชนิด ด้วยกัน นอกจากนี้อาหารในหมู่อื่นก็ยังมีอยู่ในพืชครบทั้งสิ้น จึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการกินอาหารมากกว่าว่า กินครบ 5 หมู่หรือไม่
อ้างอิง
สำนักพิมพ์แสงแดด. 2538. อาหารเจ. แสงแดด. กรุงเทพฯ.
จุลจักร. 2544.ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองที่แตกต่าง. สนองโอฐสภากาชาดไทย. 150(ตุลาคม-ธันวาคม): 37-38.
ธีรภาพ โลหิตกุล. 2543. เปิดตาที่สาม พิสูจน์ความงามแห่ง เทศกาลกินเจภูเก็ต. วารสารสายใจไฟฟ้า. (กรกฎาคม 2543): 23-26.
ปาณี อนันต์โรจน์. EAT SENSES หลากหลายของความพอใจ. 2547. METRO LIFE คู่มือใช้ชีวิตในสังคมเมือง. 1,36(9-5 ตุลาคม): 36-38.
ภาพประกอบ
สำนักพิมพ์แสงแดด. 2538. อาหารเจ. แสงแดด. กรุงเทพฯ.
ธีรภาพ โลหิตกุล. 2543. เปิดตาที่สาม พิสูจน์ความงามแห่ง เทศกาลกินเจภูเก็ต. วารสารสายใจไฟฟ้า. (กรกฎาคม 2543): 23-26.
รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด.
หมายเหตุ : ย้ายข้อมูลมาจาก https://www.lib.ru.ac.th/journal/oct/oct_gin-ja-festival.html