ทิ้งกระจาด

ภาพประเพณีทิ้งกระจาด

ทุก ๆ ปี หลังจากสารทจีน (ชิดง่วยบั่ว) แล้ว ประมาณ 12 หรือ 13 วัน ชาวจีนจะพากันไปให้ทานที่วัดกัลยาณ์ จนจัดเป็นงานบุญประจำปีทั่วไปในหมู่ผู้รับทาน (คือพวกที่ไปรับติ้ว) และงานให้ทานทิ้งติ้วนี้ ได้เรียกขานกันมาว่า
“ทิ้งกระจาด”

ทิ้งกระจาดคืออะไร ?

คำว่า “กระจาด” ในที่นี้แปลว่าอะไร? ถ้าจะหาความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถาน ก็เห็นจะไม่ได้ เพราะพจนานุกรมได้ให้ไว้แต่เพียง “ภาชนะสานรูปเตี้ยๆ ปากกว้าง ก้นกระสอบ” อย่างเดียวเท่านั้น ฉะนั้นก็ต้องหาเอาจากที่อื่น

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ สมัยรัชกาลที่ 2 ตอน “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฏทรงผนวช สามเณร” กล่าวว่า

“ครั้นถึงเดือนสิบสอง ขึ้นแปดค่ำ (สามเณรสมเด็จเจ้าฟ้ามหามงกุฏ) ได้ถวายเทศน์ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงพระราชศรัทธาโดยลำพังพระองค์ ตั้งโรงใหญ่ในวังนอกเป็นการบูชา การทำ กระจาดใหญ่ ครั้งนั้นเป็นการเอิกเกริก คนมาดูเป็นอันมาก”

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ตอน “การเทศนากระจาดใหญ่” กล่าวว่า

“… แล้วทรงพระราชดำริว่า จะทำกระจาดใหญ่สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระบรมไอยกาธิราชเจ้า กระจาดหนึ่ง, พระบาทสมเด็จฯ พระชนกาธิราช กระจาดหนึ่ง, พระบาทสมเด็จฯ พระเชษฐาธิราชเจ้า กระจาดหนึ่ง,   ทั้งสามพระองค์จึงขอแรงสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ทำกระจาดหนึ่ง, สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยทำกระจาดหนึ่ง, เจ้าพระยานิกรบดินทร์ทำกระจาดหนึ่ง   ให้ตั้งที่หน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท นอกกำแพงแก้วฝ่ายอุตตรทิศ  กระจาดสูง 6 วาตลอดยอด กว้าง 4 วา จัดเรียงกันไปทั้ง 3 แห่ง มีเครื่องไทยธรรมถวายพระเทศนากระจาดละ 10 ส่วน…  มีพุ่มกัลปพฤกษ์กระจาดหนึ่ง 10 พุ่ม พุ่มละ 10 ตำลึงเรือ สำปั้นเก๋งพังกระจาดละ 10 ลำ ผ้าไตรและเครื่องบริขารกระจาดละ 10 สำรับ…  ครั้นเสร็จแล้ว วันเดือน 1 แรม 4 ค่ำ มีพระธรรมเทศนาในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท…  พระพิมลธรรม วัดประยุรวงศ์ ถวายเทศนาพงศาวดารบริเฉท 1, พระธรรมวโรดม (ถึก) วัดพระเชตุพน ถวายเทศนาพงศาวดาร บริเฉท 2, วันเดือน 1 แรม 5 ค่ำ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ถวายเทศนาทศพร…  พระเทศนาได้รับในส่วนกระจาดแบ่งถวายเป็นส่วนๆ ไป 30 ส่วน  องค์หนึ่งได้ของไทยทานประมาณ 2 ชั่งเศษบ้าง 3 ชั่งเศษบ้าง ”

ตอน “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงผนวชสามเณร” ว่า “… ครั้นส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แล้วเสด็จกลับมาพระบรมมหาราชวัง รับสั่งให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ทำกระจาดใหญ่ เหมือนอย่างแผ่นดินสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทำกระจาดใหญ่ ถวายกัณฑ์เทศน์แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงผนวชสามเณรนั้น…”

นอกจากกระจาดถวายพระเทศน์แล้ว กระจาดถวายพระฉันก็มี การนิมนต์พระไปฉันแล้วมีถวายของพระกลับมา ก็เรียกว่าฉันกระจาด ถ้าฉันแล้วกลับมาเฉยๆ ไม่มีสิ่งของที่เรียกว่าเครื่องไทยทานถวายติดมือกลับมา ไม่เรียกว่าฉันกระจาด ดังจะเห็นได้ใน เรื่องรามเกียรติ์ สมัยรัชกาลที่ 2 ตอนที่สังฆการี ไปนิมนต์พระฤๅษีมาฉันที่ในวัง…

” บัดนั้น
สังฆการีแจ้งความจามรับสั่ง
นิมนต์สวดพิธีที่ในวัง
สิ้นทั้งคณะพระสิทธา
อันสำรับกับข้าวของฉัน
มัสหมั่นข้าวบุหรี่มีนักหนา
ไก่พะแนงแกงต้มยำน้ำยา
สังขยาฝอยทางของชอบใจ

” เมื่อนั้น
พระดาบสฟังเล่าน้ำลายไหล
ของฉันขยันยิ่งทุกสิ่งไป
แต่กระจาด มีหรือไม่จะใคร่รู้ “

สรุปแล้ว กระจาดก็คือ “สิ่งของที่ถวายพระ”

แต่สำหรับคนสามัญแล้วก็คือ ของให้ทานนั่นเอง และเนื่องจากสิ่งของที่จะให้ทานนั้นมีน้อยกว่าผู้ที่รับทาน จะแบ่งกันมันก็ไม่ลงตัว ครั้นจะเอาของนั้นมาให้แย่งกันหรือ ของนั้นก็จะฉีกขาด แตกทำลายเสียสภาพหมด จึงได้เอาของนั้นตั้งไว้เฉยๆ ทำเบอร์ติดเข้าให้ตรงกันกับติ้ว แล้วก็เอาติ้วมาทิ้ง ใครแย่งได้ติ้วเบอร์อะไรก็ไปขึ้นเอาของตามเบอร์ นี่คือการทิ้งกระจาด

การทิ้งกระจาดนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมีแต่ที่วัดกัลยาณ์นี้เท่านั้น ดังปรากฏในพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ว่า

“… ในปีวอก ฉศกนั้น เมื่อ ณ วันพุธ เดือน 9 แรม 8 ค่ำ (17 สิงหาคม 2367) มีงานทิ้งกระจาด และมีงิ้วที่บ้านหนองปรือ…”  (แต่พจนานุกรมของเราไม่ยักมี)

ของที่ติดเบอร์สำหรับงานทิ้งกระจาด 
ภาพจาก : http://kinj.hypermart.net/nineday2.htm

ปฐมเหตุประอานนท์ ทำบุญต่ออายุ

          การทิ้งกระจาดนี้เป็นการทำบุญให้ทานตามธรรมเนียมของชาวพุทธ นิกายมหายาน ในพระสูตรของนิกายมหายานตอนหนึ่งกล่าวว่า  สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่นิโครธารามในเมืองกบิลพัศดุ์ พร้อมด้วยพระภิกษุซึ่งเข้าห้อมล้อมสดับพระธรรมเทศนา ในเวลานั้นพระอานนท์ได้ไปนั่งสมาธิบำเพ็ยเพียรแต่ผู้เดียวในที่สงัด ครั้นเวลาดึกพระอานนท์ได้ทอดสายตาไป แลเห็นอสุรกายตนหนึ่งมีร่างกายซูบผอมเหี่ยวแห้ง และมีเพลิงพุ่งออกจากปาก ลำคอเท่ารูเข็ม ผมบรศีรษะรุงรัง ทั้งมีเขี้ยวงอกออกจากปากน่าสะพรึงกลัว อสุรกายนั้นมาประนมมือเฉพาะหน้าพระอานนท์แล้วบอกแก่พระอานนท์ว่า อีก 3 ราตรี ท่านจะมรณภาพ แล้วจะต้องมาเป็นอสุรกายเช่นข้าพเจ้านี้

พระอานนท์ได้ฟังดังนั้นก็สะดุ้งต่อมรณภัยเป็นอันมาก (เพราะว่าท่านยังเป็นปุถุชนอยู่) จึงถามอสุรกายไปว่า ทำฉันใดเล่าอาตมะจึงจะพ้นจากภัยนั้น อสุรกายก็ตอบว่า ถ้าท่านจะพ้นจากมรณภัยก็ให้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบริจาคทานแก่ยาจกเข็ญใจที่อดอยาก และแผ่กุศลไปให้อสุรกายทั้งหลาย ท่านก็จักมีอายุยืนยาวต่อไป และอสุรกายทั้งนั้นก็จักอาศัยส่วนบุญที่ท่านอุทิศให้พ้นทุกขภาวะไปสู่สุขคติ

พระอานนท์ได้นำความนี้ขึ้นกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคก็เห็นด้วยกับความนั้น แต่ตรัสเพิ่มเติมว่า การที่จะบริจาคทานให้ถึงพวกอสุรกายนั้นยาก เพราะพวกอสุรกายนั้นได้สร้างอกุศลกรรมไว้มาก จักต้องนิมนต์พระอริยเจ้าทั้งหลายมาประชุมกันเจริญพระคาถา เจี๊ยะยู่ไล้  ด้วย   ทานทั้งหลายจึงจะเป็นผลแก่อสุรกายเหล่านั้น พระอานนท์ก็ปฏิบัติตาม

ฉะนั้นการทำบุญทิ้งกระจาดซึ่งสืบเนื่องต่อมาจนทุกวันนี้ จึงมีการให้ทานทั้งผี (อสุรกาย) และคน ที่ให้ผีก็มีอาหารไปตั้งเซ่น และเสื้อผ้า เงินทอง (กระดาษเงิน กระดาษทอง) และของใช้ (ที่ทำด้วยกระดาษ) เอาไปเผา  ส่วนที่ให้คน ก็เป็นอาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร ฯลฯ และของใช้ ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงกุยเล้ย (หมวกเจ๊ก) และ เกี๊ยะ

ภาพคนที่ซื้อของเตรียมไปบริจาคทาน (ทิ้งกระจาด)

คนที่ซื้อของเตรียมไปบริจาคทาน (ทิ้งกระจาด)

          สำหรับที่วัดกัลยาณ์ สิ่งของเหล่านี้ผู้ที่จะไปทำบุญไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วเอาไปให้ลำบาก ที่วัดมีเตรียมไว้ให้พร้อม พกแต่เงินไปเท่านั้น เมื่อซื้อหาได้แล้วก็เอาไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อเขาจะได้เอาไปติดเบอร์ แล้วมาตั้งบริจาค และเพื่อให้สมบูรณ์ตามพิธี ทางคณะกรรมการจัดงานก็ได้นิมนต์พระจีนมาตั้งพิธีสวดพระคาถาเจี๊ยะยู่ไล้ด้วย

ภาพพระสงฆ์ฝ่ายจีนกำลังสวดพระคาถาเจี๊ยะยู่ไล้ อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรดาอสุรกาย

พระสงฆ์ฝ่ายจีนกำลังสวดพระคาถาเจี๊ยะยู่ไล้ อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรดาอสุรกาย

ทำไมต้องทิ้งกระจาด ต้องที่วัดกัลยาณ์ 

          ถ้าจะถามว่าทำไมชาวพุทธจีนจึงต้องมาทิ้งกระจาดเฉพาะแต่วัดกัลยาณ์ ถ้ายกเรื่องความเหมาะสมเรื่องสถานที่เสียแล้ว ก็เห็นจะต้องตอบว่าเป็นเพราะวัดกัลยาณ์เป็นสถานที่ที่นิยมมาเซ่นไหว้วิญญาณของซำปอกง มาก่อนกระมัง ก็เลยผสมผเสปนเปกันไป แต่ที่จริงแล้วมันคนละเรื่องกันเลยทีเดียว

ภาพป้าย "ซำปอฮุดกง"

          สาเหตุที่ชาวจีนมาเซ่นไหว้วิญญาณของซำปอกงที่วัดกัลยาณ์นั้น เป็นเพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ กล่าวคือ ชาวจีนผู้นับถือพุทธศาสนากลุ่มหนึ่ง เมื่อได้มานมัสการหลวงพ่อโตที่วัดกัลยาณ์แล้ว เกิดความเลื่อมใส ก็อยากจะยึดไว้เป็นที่บูชาสำหรับพวกตนก็เลยเขียนหนังสือจีนไว้ที่หน้าวิหารว่า “ซำปอฮุดกง” ซึ่งแปลว่าพระเจ้า 3 พระองค์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ชาวจีนกลุ่มที่นับถือซำปอกง อ่านเห็นเป็น “ซำปอกง” ก็คิดว่าเป็นสถานที่เซ่นไหว้วิญญาณของซำปอกง ก็เลยมาเซ่นไหว้ซำปอกง กันเรื่อยมา          และถ้าจะถามต่อไปว่า ทำไมชาวพุทธจีนจึงต้องเลือกเอาวัดกัลยาณ์เป็นที่บูชา “ซำปอฮุดกง” ก็เห็นจะต้องสันนิษฐานว่า เป็นเพราะชาวจีนนิยมพระโตกระมัง จะเห็นได้ว่าที่ที่เป็นซำปอฮุดกงของชาวจีนที่มีในเมืองไทยนี้สามแห่งคือ นอกจากที่วัดกัลยาณ์นี่แล้ว อีกสองแห่งคือ วัดพนัญเชิง จังหวัดอยุธยา และวัดไชโย จังหวัดอ่างทอง ก็ล้วนแต่เป็นที่ที่มีพระโตทั้งนั้น

=======================================================

<<  ป้าย “ซำปอฮุดกง” ที่ติดอยู่ที่หน้าพระวิหารพระโต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจผิดว่าเป็นที่เซ่นไหว้วิญญาณซำปิกง (แต่ฮั้ว) แต่ที่จริงแล้ว ซำปอกง (แต่ฮั้ว) นั้น แม้จะออกเสียงเหมือนกัน แต่ตัวอักษรไม่เหมือนกัน

=======================================================

 
 
 

ซำปอกง คือใคร?

ซำปอกง เป็นชื่อของวีรบุรุษจีนคนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยพระเจ้าเซ่งโจ๊วฮ่องเต้ รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์เหม็ง และได้รับราชการเป็นขันทีของพระเจ้าเซ่งโจ๊วด้วย

ความจริงชายผู้นี้ ชื่อ ฮั้ว แซ่แต่  แต่คนทั้งหลายนิยมเรียกว่า “ซำป้อ” อีกนามหนึ่ง และเป็นธรรมดาของคนจีนที่ใครเป็นใหญ่หรือเป็นคนสำคัญขึ้นมาก็จะมักเอาคำว่า “กง” เข้าไปต่อท้ายชื่อ และเมื่อเอา “กง” เข้าไปต่อท้ายแล้ว ตามหลักภาษาของจีน เสียงของคำนำหน้าก็จะต้องเปลี่ยนไปทันที อย่างเช่น “ฮ้อ” (ดี) เมื่อเอา “เจี๊ยะ” ไปต่อ ก็จะเป็น “หอเจี๊ยะ” เป็นต้น  ฉะนั้น “ซำป้อ” จึงเป็น “ซำปอกง” (จึงไปคล้ายกับ “ซำปอฮุดกง” เข้า)

ในสมัยพระเจ้าเซ่งโจ๊วฮ่องเต้นั้น แม้จะมีอานุภาพปราบแมนจูเรีย และประเทศเทศต่างๆ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศจีนได้ราบคาบแล้วก็ตาม พระองค์ก็ยังคิดจะแผ่พระเดชานุภาพออกไปให้ไกลอีก จึงรับสั่งให้แต่ฮั้วต่อเรือใหญ่ขึ้น 72 ลำ บรรทุกทหารได้ 2,700 คน แล้วก็ให้แต่ฮั้วนั้นเองคุมไปเที่ยวเผยแผ่กฤษฎาภินิหาร แต่ฮั้ว คุมเรือออกมาเที่ยวแรก เมื่อ พ.ศ.1947 ได้แวะมาโชว์แสนยานุภาพในแถบนี้จนทั่ว จนประเทศญวน เขมร พม่า ลังกา แม้กระทั่งไทยเรา (ตรงกับสมัยพระรามราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา) ก็ได้ส่งเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอันมาก

เมื่อเห็นว่าการเผยแผ่ พระเดชาภินิหารทางทะเลเป็นผลดีเช่นนั้น พระเจ้าเซ่งโจ๊วฮ่องเต้ก็ให้แต่ฮั้ว ยกออกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 1950 คราวนี้เจ้าเมืองลังกาเห็นว่า กระบวนเรือของแต่ฮั้ว ล้วนแต่ของมีค่าที่ประเทศต่างๆ ส่งไปบรรณาการแก่พระเจ้ากรุงจีนก็เกิดความโลภเจตนา จึงจัดทัพออกปล้นเรือแต่ฮั้วเจ้าเมืองลังกา กลับถูกจับตัวไปประเทศจีนด้วย

แต่ฮั้วได้ตระเวนเผยแผ่เดชาภินิหารให้แก่พระเจ้าเซ่งโจ๊วฮ่องเต้ อยู่ถึง 7 ครั้ง เป็นระยะเวลายาวนานถึง 28 ปี ชื่อเสียงของแต่ฮั้วระบือลือเลื่องไป แม้กระทั่งในต่างประเทศ จึงเป็นที่นิยมนับถือของชาวจีนเป็นอันมาก และเมื่อแต่ฮั้วถึงแก่กรรมลง จึงมีคนเซ่นไหว้วิญญาณของแต่ฮั้วที่เรียกว่า “ซำปอกง” กันเป็นอันมาก และยังเซ่นไหว้กันอยู่เรื่อยมาจนตราบปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากที่วัดกัลยาณ์นี้ ว่ามีคนจีนไปเซ่นไหว้วิญญาณของแต่ฮั้ว ปีหนึ่งๆ มิใช่น้อย…

อ้างอิง 

สันต์ สุวรรณประทีป. “ทิ้งกระจาด”. (2526). “คนจีน 200 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร”  เส้นทางเศรษฐกิจ
ฉบับพิเศษ กรุงเทพมหานคร : บริษัทเส้นทางเศรษฐกิจจำกัด.

รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด