เมื่อ พ.ศ. 2512 มีเจ้าหน้าที่สหพันธ์องค์การผู้บริโภคระหว่างประเทศ ได้เข้ามาชักชวนองค์การเอกชนในประเทศไทยให้เข้าร่วม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากองค์การเอกชนของประเทศไทยขณะนั้นยังไม่พร้อม
อย่างไรก็ตามสหพันธ์องค์การผู้บริโภคระหว่างประเทศก็มิได้ย่อท้อ ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาชักชวนเป็นระยะ จนกระทั่งครั้งที่ 3 องค์การเอกชนของประเทศไทยที่ได้รับการชักชวน จึงจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาปัญหาผู้บริโภค มีชื่อว่า คณะกรรมการศึกษาและส่งเสริมผู้บริโภค ในปี พ.ศ. 2514 และได้มีวิวัฒนาการเรื่อยมาในภาคเอกชน รวมทั้งได้ประสานงานกับภาครัฐบาล จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 รัฐบาลสมัยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีรองนายกรัฐมนตรี พลตรีประมาณ อดิเรกสาร เป็นประธานกรรมการ และได้สลายตัวไปพร้อมกับรัฐบาลในยุคนั้นตามวิถีทางการเมือง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 ในรัฐบาลสมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นของการคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคอีกครั้ง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี นายสมภพ โหตระกิตย์ เป็นประธานกรรมการการปฏิบัติงาน โดยอาศัยอำนาจของนายกรัฐมนตรี และศึกษาหามาตราการถาวรในการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งในหลักทางสาระบัญญัติ และการจัดองค์กรของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้พิจารณายกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
รัฐบาลในขณะนั้นได้เสนอต่อรัฐสภา และมีมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้เป็นกฎหมายได้ รัฐบาลจึงนำร่างขึ้นบังคมทูล ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ทรงลงพระปรมาภิไธย ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2522 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 96 ตอนที่ 72 วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา
อ้างอิง
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค. (ม.ป.ป.). ประวัติหน่วยงาน. ค้นเมื่อ 28 เมษายน 2564 จาก http://www.ocpb.go.th/
ข้อมูลโดย : กลุ่มนักศึกษาฝึกงาน งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด