การสมรส คือ การที่ชายและหญิงจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัว สร้างหลักฐานให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น และมีผู้สืบสกุลต่อไป ชายและหญิงที่จะมาอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุกราบรื่น โดยตลอดนั้นจำเป็นต้องยึดหลักธรรมะหลายประการ เช่น คหบดีธรรม หรือธรรมะของผู้ครองเรือน ได้แก่
1. สัจจะ ซื่อสัตย์ต่อกัน ไว้วางใจกัน และจริงใจต่อกัน
2. ทมะ รู้จักข่มจิต มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่แสดงความหุนหันพลันแล่น
3. ขันติ อดทน ต่อความยากลำบาก อดทนหากอีกฝ่ายหนึ่งมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรืออดทนต่อสิ่งไม่พอใจต่าง ๆ
4. จาคะ การให้ การเสียสละ มีจิตใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันทั้งด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ และกำลังปัญญา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบัญญัติถ้อยคำเกี่ยวกับการสมรสไว้เป็น 3 อย่าง คือ ข้าราชการผู้มีบรรดาศักดิ์เรียกว่า “สมรส” พระองค์เจ้า หรือหม่อมเจ้าเรียกว่า “เสกสมรส” เจ้าฟ้าเรียกว่า “อภิเษกสมรส” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 “ราชาภิเษก” ได้มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอัครมเหสี โดยประกาศวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493 ความตอนหนึ่งว่า “มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า “ได้ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ถูกต้องตามกฎหมายและราชประเพณีโดยสมบูรณ์ทุกประการแล้ว”
ในปีพ.ศ.2489 เมื่อรัฐบาลในนามของประชาชนทั้งประเทศ กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลนั้น ประเทศไทยขาดพระบรมราชินีมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งขณะนั้นคือ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2492 ประชาชนชาวไทยจึงพากันตื่นเต้นยินดี ยิ่งได้ทราบว่าพระคู่หมั้นทรงมีพระสิริโฉมงดงาม มีพระปรีชาสามารถ
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสมีขึ้นวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493
บรรณานุกรม
เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ,สำนักงาน. สดุดีบุคคลสำคัญ เล่ม 7. กรุงเทพฯ : วิคตอรี่เพาเวอร์พอยท์, 2530.
ข้อมูลโดย : กลุ่มนักศึกษาฝึกงาน งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด