ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 แห่ง ใน 1 วัน เสริมสิริมงคล

เกร็ดเสริม :: เที่ยวสิริมงคล ไหว้พระ 9 วัด

เป็นเรื่องที่นิยมมาตลอดกับการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ทัวร์  “ไหว้พระ 9 วัด” กลายเป็น “มงคล” ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติกำลังให้ความสนใจ วัดทั้ง 9  ที่ว่ามี วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมือง, วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร(วัดแจ้ง), วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

บางคนเคร่งครัดจัดถึงขนาดที่จะต้องไปสักการะให้ครบทั้ง 9 แห่งในวันเดียว ความฮิตดังว่าทำให้ถูกหยิบ “ทัวร์มงคล” นี้ใส่ในโปรเจคดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อให้หันมาสนใจท่องเที่ยวบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์กันมากขึ้น ทางเราได้เหน็บเกร็ดความรู้ ความเชื่อและวิธีการสักการะแต่ละแห่งเพื่อเสริมความมงคลกันอย่างสูงสุด

           วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ต้องไปสักการะ “พระประธาน” ในพระอุโบสถ และ “สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท” ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า “จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง”

           วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เพื่อ “วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป” ต้องไปสักการะ “พระศรีศากยมุนี” ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย

           ศาลหลักเมือง ไปสักการะ “เทพารักษ์ทั้ง 5” คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ “ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี” ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย

           วัดพระศรีรัตนศาสดารามไปที่นี่ต้องไปไหว้  “พระแก้วมรกต”  ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่ เพื่อ “แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา”

           วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ต้องไปสักการะ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี) ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู และภาวนาด้วยคาถาชินบัญชร เพื่อ “ความนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดัง”

           วัดอรุณวรารามราชวรมหาวิหาร ต้องไปสักการะ  “พระประธาน”  ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ  “พระปรางค์”  อีก 3 รอบ เพื่อ “ชีวิตรุ่งโรจน์”

           วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ไหว้  “พระประธานหรือหลวงพ่อซำปอกง”  ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ เพื่อ  “ความสวัสดีมีชัย เดินทางปลอดภัย”

           วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ต้องไปไหว้ “พระพุทธไสยาสน์” เพื่อ  “ความสงบสุขร่มเย็น”  ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว  11  แผ่น

           วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ไหว้พระวัดราชบพิธเขตเสมาใหญ่มากล้อมรอบ ขอพรให้มีสิ่งเกื้อหนุน มีคนอุปถัมภ์ค้ำจุน

การได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษทางศาสนาเท่านั้น สามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท่านั้น หากยังเป็นกุศโลบายที่สร้างความเชื่อมั่นในการพาชีวิตก้าวเดินต่อไปในอนาคต น่าจะเป็นเวลาทองที่ได้ซึมซับความสงบสุข ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไทยได้อีกด้วย

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

” ไหว้พระวัดชนะฯ อุปสรรคและศัตรูร้ายพ่ายแพ้”

ภาพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
“สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท”
ภาพประตูพระอุโบสถ
ประตูพระอุโบสถ
ภาพ พระประธาน" ในพระอุโบสถ
” พระประธาน” ในพระอุโบสถ

วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ต้องไปสักการะ ” พระประธาน” ในพระอุโบสถ และ “สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท” ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า “จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง”

ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณหน้าต่างวัดชนะสงคราม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณหน้าต่างวัดชนะสงคราม

ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณหน้าต่างวัดชนะสงคราม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังบริเวณหน้าต่างวัดชนะสงคราม

ภาพสถูปเจดีย์บริเวณทางเข้าประตูหน้าวัด
สถูปเจดีย์บริเวณทางเข้าประตูหน้าวัด

 

 

ภาพช่อฟ้าวัดชนะสงคราม
ภาพช่อฟ้าวัดชนะสงคราม

วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร

” ไหว้พระวัดสุทัศน์ฯ วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”

วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร
วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร

วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็นวัดกลางพระนคร และสร้างพระวิหารใหญ่เทียบเท่าวัดพนัญเชิง ของกรุงศรีอยุธยา จากนั้นทรงอัญเชิญพระพุทธรูปโลหะปางมารวิชัย ซึ่งหล่อขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง ที่เรียกกันว่าพระโตหรือพระใหญ่ จากพระวิหารวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยมาประดิษฐานตั้งอยู่ท่ามกลางกรุงเทพมหานคร ในท้องที่ตำบลวัดราชบพิตร เลขที่ 146 ริมถนนตีทอง 1 ถนนบำรุงเมือง หน้าวัดออกทางถนนอุณากรรณ อำเภอพระนคร กรุงเทพมหานคร

วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีชื่อเดิมว่า “วัดมหาสุทธาวาส” โดยมีพระราชประสงค์ที่จะทรงสร้างให้เป็นวัดกลางเมืองเขตพระนคร มีวิหารสูงใหญ่เท่าวัดพนัญเชิงของกรุงศรีอยุธยา มีพระศรีศากยมุนีที่อัญเชิญมาจากวิหารหลวงของวัดมหาธาตุของกรุงสุโขทัยประดิษฐานอยู่ การสร้างวัดมหาสุทธาวาสเสร็จสมบูรณ์ในรัชกาลที่ 3  เมื่อปี พ.ศ. 2390 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดสุทัศน์เทพวราราม”

ประตูทางเข้าวัดสุทัศน์
ประตูทางเข้าวัดสุทัศน์

ภายในวัด บริเวณลานตรงมุมพระระเบียงด้านขวาประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 8 ( ศาสตรจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้นพระพักตร์ นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ปั้นพระวรกาย) พระวิหารพระศรีศากยมุนี ถ่ายทอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา บานประตูใหญ่พระวิหารสลักไม้สวยงามยิ่งนัก ในจดหมายเหตุกล่าวไว้ว่า รัชกาลที่ 2 ทรงสลักบานประตูใหญ่คู่กลางที่ถูกไฟไหม้เมื่อ พ.ศ.2502 นั้น ได้นำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และนำบานประตูใหญ่ด้านหลังพระวิหารมาใส่ไว้แทนพระอุโบสถ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2377 – 2386 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย ใหญ่กว่าพระที่หล่อในกรุงรัตนโกสินทร์องค์อื่นๆ หน้าตักกว้าง 10 ศอก 8 นิ้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นฝีมือช่างชั้นครู ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีความงดงามมาก พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย

“พระพุทธตรีโลกเชฏฐ์” พระประธานในอุโบสถ

ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร

“ไหว้ขอพร “ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี”


ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ถนนมหาไชย เขตพระนคร เป็นที่เคารพสักการะขอผู้คนทั่วไป ผู้คนโดยมากจะมากราบไหว้ขอพร ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนา บารมี ให้ชีวิตมั่นคง มีหลักชัยในชีวิต

เสาหลักเมือง

ในการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ได้โปรดเกล้าให้กระทำพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.45 น. ต่อมาในรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมใหม่เมื่อ พ.ศ. 1246 เสาหลักเมืองสร้างด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สูงพ้นดิน 108  นิ้ว ส่วนที่ฝังอยู่ในดินยาว 19 นิ้ว มียอดสวมลงบนเสา ลงรักปิดทองสำหรับบรรจุชะตาเมือง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ ในบริเวณนี้ยังมีศาลเทพารักษ์ ประดิษฐานเจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี มีการจัดละครรำ ละครชาตรี ไว้สำหรับให้ผู้ต้องการแสดงคาราวะ ว่าจ้างด้วยการรำบูชาศาลหลักเมืองอยู่ตรงด้านข้างด้วยเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 220 ปี มีการบวงสรวงและแจกจ่ายน้ำมนต์ให้กับประชาชนเพื่อความสิริมงคล เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2545

ประตูศาลหลักเมือง
ประตูศาลหลักเมือง

น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ศาลหลักเมือง
น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ศาลหลักเมือง
ละครชาตรี รำบูชาศาลหลักเมือง
ละครชาตรี รำบูชาศาลหลักเมือง

บรรยากาศการสักการบูชาศาลหลักเมือง

ฝั่งตรงข้ามเป็นของศาลหลักเมืองจะมองเห็นวัดพระแก้วและซุ้มช้าง ซึ่งเป็นสถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางไปสักการะพระแก้วมรกต สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทย

 วัดพระแก้ว
วัดพระแก้ว
ซุ้มช้าง
ซุ้มช้าง

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

“ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวน เงินทองไหลมา เทมา ตลอดปี”

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่กำแพงพระบรมมหาราชวัง ใกล้ท้องสนามหลวง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครวัดพระแก้วมรกต วัดสำคัญที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ วัดคู่กรุง, พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2325 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2327 เป็นวัดที่สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวัง ตามแบบวัดพระศรีสรรเพชญ สมัยอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูลละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ 1 เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 1 ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม 12 ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก 10 ตัว

รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย มาประดิษฐาน ณ ที่นี้ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 48.3 ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร 66 ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่าง ๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่าง ๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ 1 เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป

จิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว

วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้ ภายหลังจากการสถาปนาแล้ว ก็ได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชกาล เพราะเป็นวัดสำคัญ จึงมีการปฏิสังขรณ์ใหญ่ทุก 50 ปี คือในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525 ที่ผ่านมา การบูรณปฏิสังขรณ์ที่ผ่านมา มุ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันเป็นมรดกชิ้นเอกของชาติ ให้คงความงามและรักษาคุณค่าของช่างศิลป์ไทยไว้อย่างดีที่สุด เพื่อให้วัดพระศรีรัตนศาสดารามนี้อยู่คู่กับกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป

พระอุโบสถ

พระอุโบสถ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด 4 ระดับ 3 ซ้อน มีช่อฟ้า 3 ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน

ภาพประทับใจบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

สลักเสา รูปต่าง ๆ พ่อค้าจีนใช้ในการถ่วงเรือ จึงเรียกว่าเครื่องอับเฉาเรือ สมัยก่อนจะถ่วงมากับเรือ

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระที่นั่งดุสิตธานี
พระที่นั่งดุสิตธานี

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

“ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี”

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (วัดระฆัง) ตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้สังคยาพระไตรปิฏกที่นี่ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการขุดพบระฆังโบราณในเขตวัด ประชาชนจึงเรียกว่า วัดระฆังตั้งแต่นั้นมา แต่ตัวระฆังซึ่งมีเสียงดี รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ภาพพระประธานในอุโบสถ และหอพระไตรปิฏก

สิ่งสำคัญในวัดได้แก่ ตำหนักทอง ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พระอุโบสถกับหอพระไตรปิฏกที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้าง ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังประดับทั้งสองหลัง สถาปัตยกรรมไทยในวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่างามยิ่ง คือ หอพระไตรปิฏก เดิมอยู่กลางสระที่ขุดขึ้นด้านหลังพระอุโบสถ สร้างเป็นเรือนแฝด 3 หลัง ด้วยไม้ที่รื้อพระตำหนักและหอนั่งเดิมของรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งยังทรงรับราชกาลอยู่กรุงธนบุรี ฝาผนังด้านนอกทาสีดินแดง ด้านในเขียนภาพฝีมืออาจารย์นาค เป็นภาพแสดงวิถีชีวิตประจำวันของคนสมัยนั้น บานประตูตกแต่งด้วยการเขียนลายรดน้ำและแกะสลักอย่างงดงาม นอกจากนั้นยังมี ตู้พระไตรปิฏก ลายรดน้ำขนาดใหญ่สมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ในห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้

ภาพประทับใจในวัดระฆัง

หอระฆังที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระราชทานให้พร้อมกับระฆังอีก 5 ลูก
หอระฆังที่รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระราชทานให้พร้อมกับระฆังอีก 5 ลูก
ตำหนักจันทน์ หอพระไตรปิฎก โบราณสถานที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์โบราณสถานดีเด่น
ตำหนักจันทน์ หอพระไตรปิฎก โบราณสถานที่ได้รับรางวัลอนุรักษ์โบราณสถานดีเด่น
วิหารสมเด็จ ซึ่งมีรูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระราชาคณะอีกสองรูปประดิษฐานอยู่
วิหารสมเด็จ ซึ่งมีรูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระราชาคณะอีกสองรูปประดิษฐานอยู่

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

” ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตรุ่งเรืองทุกคืนวัน”

 วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร
วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร

วัดอรุณราชวรรามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย

วัดอรุณฯ เดิมชื่อ ” วัดมะกอก” สร้างในสมัยอยุธยา ต่อมา สมเด็จพระเจ้าตากสิน โปรดให้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ” วัดแจ้ง” ล่วงถึงสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้อัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของรัชกาลที่ 2 มาบรรจุที่พุทธอาสน์ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในอุโบสถ และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า ” วัดอรุณราชวราราม” จึงได้ถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2

วัดอรุณฯ มีสิ่งที่โดดเด่นคือพระปรางองค์ใหญ่ สูงประมาณ 70 เมตร ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของกรุงเทพฯ องค์พระปรางประกอบด้วยกระเบื้องเคลือบด้วยสีต่าง ๆ หลากลวดลายนับล้านชิ้น สอดสลับไว้อย่างเป็นระเบียบ ตั้งตระหง่านหันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา

พระประธานวัดอรุณ
พระประธานวัดอรุณ

พระปรางค์วัดอรุณฯ

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

“ไหว้พระวัดกัลยาณมิตร โชคดีมีมิตรที่ดี เดินทางปลอดภัย”

 วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร (วัดกัลยา) พระอารามหลวง
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร (วัดกัลยา) พระอารามหลวง

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร (วัดกัลยา) พระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินข้างเคียงเพิ่มเติม สร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระราชทานนามว่า วัดกัลยาณมิตร และทรงสร้างพระราชทานทั้งพระวิหารหลวงและพระประธานสำหรับพระวิหารหลวง คือ หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกันกับที่วัดพนัญเชิง กรุงเก่า หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เรียกชื่อแบบจีนว่า ซำปอฮุดกง หรือ ซำปอกง ภายในพระอุโบสถซึ่งมีขนาดเล็กกว่าพระวิหาร มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง พุทธประวัติที่แทรกเรื่องราวชีวิตชาวบ้านชาวเมืองสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งนอกจากจะมีคุณค่าทางวัฒนธรรมแล้ว ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สังคมอย่างยิ่งอีกด้วย

นอกจากนั้นยังมี หอมณเฑียรธรรมเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บประไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4 หน้าพระวิหารหลวงยังมีหอระฆังฝีมือคนรุ่นใหม่ สำหรับไว้ระฆังยักษ์ มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทางเข้าวัดมีเจดีย์หิน ทำมาจากเมืองจีน เรียกว่า ถะ เป็นศิลปะจีนที่งดงามมาก

หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก

ระฆังยักษ์ มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

“ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ สงบ สุข ร่มเย็นตลอดปี”

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ 1 สถานที่ตั้ง หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย เขตพระนคร

วัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า วัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยธนบุรี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. 2331 โดยสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อเสร็จใน พ.ศ. 2344 โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดพระเชตุพนฯ ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐานไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ในรัชสมัย


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร” นอกจากนี้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์

พระพุทธเทวปฏิมากร

หมู่พระมหาเจดีย์ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4)

หมู่พระมหาเจดีย์ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๑-๔)

พระนอนขนาดใหญ่มีความยาว 46 เมตร ซึ่งงดงามที่สุดในประเทศ

พระนอนขนาดใหญ่มีความยาว 46 เมตร ซึ่งงดงามที่สุดในประเทศ

ประติมากรรมรูปฤาษีดัดตน

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

“ไหว้พระวัดราชบพิธเขตเสมาใหญ่มากล้อมรอบ”

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

พระอารามหลวง ชั้นเอก วัดประจำรัชกาลที่ 5 บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร ไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 แล้วนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษาอยู่ พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ร.5 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ โดยสร้างเลียนแบบ 2 วัดคือ วัดพระปฐมเจดีย์กับวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 โดยภายในวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตสุสานหลวง ตัวพระอุโบสถภายนอกสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ประกอบด้วยลวดลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์รูปเทพประนม(มือ) ภายในเป็นสถาปัตยกรรมโกธิค พระประธานคือ พระพุทธอังคีรส ภายใต้พระประธานมิได้เพียงบรรจุพระสรีรังคารของ ร.5 เพียงเท่านั้นยังบรรจุพระสรีรังคารของพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ด้วย

พระพุทธอังคีรส

การวางตัวของพระอุโบสถกับพระวิหารเป็นแบบวัดพระปฐมเจดีย์ คือวางแนวทิศตรงกันข้าม โดยด้านข้างจะมีทางเข้าไปในรอบๆ พระเจดีย์ ข้างในพระเจดีย์มีพระพุทธรูปปางนาคปรกอยู่ด้วย ซึ่งเล่ากันมาว่าขุดพบใต้ต้นตะเคียนริมคลองหลอด ซึ่งเชื่อกันว่าคนที่อยากมีลูกมาขอพรก็จะมีลูกสมใจ ภายในพระเจดีย์ยังมีทางขึ้นไปบนฐานเจดีย์ด้วย ในอดีตสามารถมองเห็นภูเขาทองได้ด้วย

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

ศิลปกรรมที่สำคัญในวัดได้แก่ บานประตู และหน้าต่างของพระอุโบสถที่มีลายไทยลงรักประดับมุก เป็นรูปดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ สวยงามมาก

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คำว่าสถิตมหาสีมาราม หมายถึงการมีเขตเสมาใหญ่มากล้อมรอบทั้งวัด แทนที่จะมีแค่ เสมารอบ ๆ พระอุโบสถเท่านั้น และที่น่าสนใจอีกอย่างคือกระเบื้องเบ็ญจรงค์ ทั้งพระอุโบสถ วิหารและเจดีย์ ระเบียงแก้ว ล้วนตกแต่งด้วย ลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งสิ้น และทุกแผ่นเขียนด้วยมือ และออกแบบรูปทรงกระเบื้องขนาดต่าง ๆ ลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าเจดีย์ ระเบียง พระอุโบสถ ซึ่งมีรูปทรงอ่อนช้อย แต่ทุกอย่างลงตัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

เส้นทางการเดินทาง

ขอพร 9 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไหว้พระมีมงคลอันประเสริฐทั้งปวงตลอดปี

เริ่มต้นที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นั่งรถเมล์สาย 59 หรือสาย 171 ลงที่แยกคอกวัว แล้วข้ามถนนไปฝั่งกองสลาก เดินเข้าถนนข้าวสาร แล้วเลี้ยวขวาไปวัดชนะสงครามเป็นวัดแรก

07.00 – 07.45 น. วัดชนะสงคราม “ไหว้พระวัดชนะ อุปสรรค และศัตรูพ่ายแพ้”

08.15 – 09.00 น. วัดสุทัศน์เทพวรารามไหว้พระวัดสุทัศน์มีวิสัยทัศน์กว้างไกล”

09.15 – 09.45 น. ศาลหลักเมือง “ตัดเคราะห์ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี”

10.00 – 10.45 น. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม “ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา”

11.15 – 12.15 น. พักรับประทานอาหารกลางวันที่ตลาดบริเวณท่าเรือท่าช้าง

รับประทานอาหารอิ่มแล้ว ออกเดินทางต่อไปวัดระฆังด้วยเรือข้ามฟาก ค่าโดยสาร 3 บาท


12.30 – 13.15 น. วัดระฆังโฆสิตาราม “ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี”

13.45 – 14.30 น. วัดอรุณราชวราราม “ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน”

14.45 – 16.15 น. วัดกัลยาณมิตร “ไหว้พระวัดกัลยาณมิตร โชคดีมีมิตรที่ดี เดินทางปลอดภัย”

นั่งเรือข้ามฟากเดินทางไปวัดพระเชตุพนวิมลคลาราม บริเวณท่าเรือหน้าวัดกัลยาณมิตร

16.25 – 16.45 น. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม “ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ ชีวิตร่มเย็นเป็นสุขทุกคืนวัน”

17.00 – 17.30 น. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ” ไหว้พระวัดราชบพิธเขตเสมาใหญ่มากล้อมรอบ”

สิ้นสุดการเดินทาง ทัวร์มงคลไหว้พระเก้าวัดเพียงเท่านี้ ขอให้เดินทางกลับอย่างสวัสดิภาพ หากจะเดินทางต่อแนะนำให้ไปเดินย่ำราตรีที่ถนนข้าวสาร แวะหาอะไรรองท้องก่อนกลับบ้าน

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง

เครื่องแต่งกาย สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลายควรแต่งการให้สุภาพ ไม่สวมกางเกงขาสั้น และเสื้อแขนสั้น สุภาพสตรีสามารถสวมกระโปรงไปได้แต่ต้องเป็นกระโปรงยาวคลุมเข่ามิฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้เข้าชมวัด
ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางท่านละ 300 บาท ก็สามารถเดินทางไหว้พระได้อย่างสบายใจตลอดทริป สเบียงอาหารและดอกไม้ธูปเทียน มีขายหน้าวัด ส่วนค่าเข้าชมวัดชาวไทยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนชาวต่างชาติ เสียค่าธรรมเนียมตามอัตราที่วัดแต่ละแห่งกำหนดไว้



ประมวลภาพ


ผู้จัดทำ

จัดทำโดย นักศึกษาในโครงการสหกิจศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

นางสาวนิตยา หนูทอง รหัส 47106877
นางสาวสุขุมาภรณ์ สุริยะ รหัส 47107776

สำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์ สาขาการจัดการสารสนเทศ

หญิงท๊อป

 

ลิงค์น่าสนใจ

การ์ตูนพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า
https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12024

กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.m-culture.go.th/th

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
https://www.onab.go.th/th/page/item/index/id/1

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
https://luangta.com/

พุทธทาสศึกษา
https://buddhadasa.info/

ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/index.php

สารคดี ตามรอยพระพุทธเจ้า
[https://www.youtube.com/playlist?list=PLMRUh9Alv-DNmDkN0POn8uEle5NA6bc5z]

แจ้งภัยทางพระพุทธศาสนา: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
https://www.onab.go.th/th/eform/item/index/id/9

วัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน
https://thailandtourismdirectory.go.th/attraction/3142

หอจดหมายเหตุพุทธทาส
https://main.bia.or.th/

พระไตรปิฎก 45 เล่ม
https://84000.org/

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
https://www.mcu.ac.th/

ธรรมะไทย
http://www.dhammathai.org