สนเทศน่ารู้ :: ผู้สูงอายุ

หน้าหลัก

 คำนิยามและความเป็นมา

สถิติข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ

แผนนโยบายของรัฐกับงานผู้สูงอายุ

การสร้างเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ
    
โภชนาการทั่วๆ ไป
  
โรคต่างๆที่มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ
  
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
  
 การศึกษาหาความรู้
  
การดำรงในศาสนธรรม

การดูแลเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ

การเตรียมตัวเข้าสู่วัยสูงอายุ

บทความและงานวิจัยที่น่าสนใจ

หน่วยงาน คณะกรรมการ
ที่เกี่ยวข้องกับงานผู้สูงอายุ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด

 

การดูแลตนเองของผู้สูงอายุ

การดำรงอยู่ในศาสนธรรม

         ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า"ธรรมะคือหน้าที่ การทำหน้าที่ คือการปฏิบัติธรรม" ซึ่งจะทำที่ไหนก็ได้ ที่บ้าน ที่ทำงาน บนรถโดยสาร ทุ่งนา ฯลฯ ทำได้ทั้งนั้น การเลี้ยงชีพโดยสุจริต ก็ถือว่าเป็นการปฏบัติธรรมเช่นกัน
         ส่วนการไปวัดที่มีการสอนธรรม ได้ฟังเสียงพระเทศน์ร่วมกันสวดมนต์ ทำวัตร การสนทนากับสาธุชน ได้ประสบกับบรรยากาศที่สงบเย็นสบายฯลฯ ช่วยให้ใกล้ชิดกับธรรมะเร็วขึ้น การที่ได้พบกับบุคคลที่มีบุคลิกอิ่มเอิบเบิกบาน ใบหน้า ดวงตา ผิวพรรณสดใส แช่มชื่น ภาพนี้จะถ่ายทอดมาสู่ผู้ที่ได้พบเห็น

         ชีวิตเป็นสิ่งที่รักของทุกคน ความผาสุก การอยู่ดีกินดี และการมีอายุยืน ย่อมเป็นที่ปรารถนา ของมนุษย์ทุกรูปนาม ไม่ว่าหญิงหรือชาย ไพร่หรือผู้ดี เศรษฐีหรือยาจก 
         เห็นได้ง่ายๆ ว่าระหว่างคนที่มีเงินล้านแต่นัยน์ตาบอด ทั้งสองข้างหรือต้องนอนอยู่กับที่เพราะเป็นอัมพาต กับเป็นคนจนแต่มีสุขภาพดี ไปไหนมาไหนได้ ท่านจะเลือกเป็นใคร
         พระพุทธเจ้าทรงพร่ำสอนว่า สิ่งต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นของนอกกาย และหาได้ช่วยให้มีความสุขที่แท้จริงไม่ ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจ และการมีธรรมะ ผู้ที่มีธรรมะย่อมมีความสุข มีจิตแจ่มใสปิติปราโมทย์ อินทรีย์หรือผิวพรรณ ก็ย่อมอิ่มเอิบผ่องใสตามไปด้วย และการที่คนไทยเราได้รับการสรรเสริญกัน โดยทั่วไปว่า เป็นผู้มีอัธยาศัยเรียบร้อยน่ารัก มีกิริยามารยาทนุ่มนวลน่าเอ็นดู พูดจาไพเราะอ่อนหวานน่าฟัง หน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใสน่าคบหาสมาคม รู้จักสัมมาคารวะ รู้จักที่ต่ำที่สูง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีมูลเหตุ มาจากการมีพระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมประจำนั่นเอง
         ฉนั้นการที่จะให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงจำต้องกระทำไปพร้อมกัน คือ ศึกษาธรรม และปฎิบัติธรรม จะช่วยให้ประสบสุขทางใจ ไร้กังวล ทำให้ผิวพรรณผ่องใสและไม่แก่ก่อนวัย
         คนเรายังรู้กันน้อยเหลือเกินว่า "ความเครียด"(1) เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สุขภาพเสื่อม ทั้งทางกายและทางจิต ทำให้แก่เร็ว และเป็นโรคต่างๆ ได้สารพัด แต่พระพุทธเจ้าทรงตระหนักดีมากกว่า 2,500 ปีแล้ว ธรรมะทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงสอน อาจประมวลได้ใน 3 หัวข้อเท่านั้น ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ คือ
         1. ให้ละความชั่ว
         2. ให้ทำความดี
         3. ทำจิตใจให้ผ่องใส
         การทำจิตให้ผ่องใสนี้เป็นการป้องกัน และบำบัดความเครียด ได้อย่างดีเลิศ
         ได้มีผู้ทูลถามพระบรมศาสดาว่า "ภิกษุทั้งหลายที่ประพฤติพรหมจรรย์ สงบอยู่ในป่า บริโภคอาหารมื้อเดียว แต่ทำไมผิวพรรณจึงผ่องใส"
         พระองค์ตรัสตอบว่า "เพราะเธอทั้งหลาย ไม่ได้โศกเศร้า ถึงสิ่งที่ล่วงเลย ไปแล้ว ไม่เพ้อหวังถึงสิ่งที่มาไม่ถึง ยังชีพให้เป็นไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะเหตุนี้แลผิวพรรณถึงได้ผ่องใส"
ส่วนผู้ที่มัวแต่เพ้อหวัง ถึงสิ่งที่ล่วงเลยไปแล้ว นั่นแหละ คือ คนโง่ จึงซูบซีด เหมือนไม้อ้อสดถูกตัดขาดจากต้น จึงเหี่ยวแห้งไป
         ฉนั้น ความเครียด คือ ความรู้สึกที่ร่างกายหรือจิตใจได้รับการกระทบกระเทือน จนถึงขั้นที่ทำให้ร่างกาย แสดงการตอบสนองต่อตัวกระตุ้นนั้นๆ เช่น ทำให้หัวใจเต้นเร็ว หรือเกิดความเจ็บปวด, เกิดอารมณ์โกรธ, เกลียด, กลัว, เศร้าโศกเสียใจ, ตกใจ หรือวิตกกังวล
         ตัวกระตุ้นที่จะทำให้เกิดความเครียด จึงอาจเป็นไปได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือสิ่งกระทบใจ เช่น ร้อนจัด, เย็นจัด, บาดเจ็บ, ตั้งครรภ์, ผ่าตัด, เป็นไข้, รับเชื้อ, เหน็ดเหนื่อยมากไป, เพลียใจ, รถติด, ผิดหวังในการเรียน, การเงิน การงาน ความรัก, ได้รับข่าวร้าย, ได้ยินเสียงที่ระคายหู, มีความไม่สงบสุขในครอบครัว เป็นต้น ความเครียดจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอตามธรรมชาต
         ฉนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเรามีอารมณ์เย็น มีธรรมะ มีจิตใจสูงโอกาสเกิดความเครียด จะลดลง
         จากการที่อวัยวะภายในทั้ง 6 ได้แก่ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ สัมผัส อายตนะภายนอก 6 คือ รูป,เสียง,กลิ่น,รส,โผฏฐัพพะ และ ธรรมาธารมณ์(อายตนะ 12 เป็นวิปัสสนาภูมิ(2)หนึ่งนั่นเอง)
         ถ้าเราไม่สามารถขจัดปัญหาต่างๆ ได้ ย่อมให้เกิดความวิตกกังวลสุมในอก ซึ่งเป็นความเครียดและความวิตกกังวลนี้เองเป็นก้าวแรก ที่ทำให้เกิดโรคทางกาย และทางจิตขึ้นได้ ฉนั้นผู้ฉลาด จึงพึงหลีกเลี่ยงความเครียดให้มากๆ และการหลีกเลี่ยงที่ดีที่สุด ก็คือ การทำตามแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้นั่นเอง คือ การให้รู้จักการปล่อยวาง  อย่าไปยึดสิ่งใดโดย ความเป็น "ตัวตน-ของตน" อย่าให้มี กิเลส โลภ,โกรธ,หลง มาครอบงำ ทำใจให้ผ่องใส ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เรื่อง ศิล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ให้รู้จักสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โดยมีสติ เป็นเหมือนนายทวาร ที่คอยควบคุมเสมอ ทุกอริยบท แล้วใช้ปัญญา คอยขัดเกลาจิตให้มีความสงบลง ก็จะเกิดความสุขขึ้น ดังพระพุทธสุภาษิตว่า "อุปสนโต สุขํ  เสติ" หมายถึง ผู้สงบระงับย่อมอยู่เป็นสูข
         พระภิกษุ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต ได้สอน ถึง เรื่อง "สบายใจ" มีความว่า คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจ "ปล่อยให้มันไป และขับมันออกไป" คือ ก่อนมันจะเกิดต้องปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารีบเอาความไม่สบายใจไว้ เมื่อเผลอไปปล่อยให้มันแอบเข้ามาอยู่ในใจ พอมีสติ ก็ขับมันออกไปทันที เพราะความไม่สบายใจนี้แหละ เป็นมารที่คอยทำให้ใจไม่สงบ ไม่สบายไปด้วย เป็นอุปสรรค กีดกั้น ขัดขวาง สติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่ง และแจ่มใส จึงควรหัดจิตใจให้แช่มชื่นรื่นเริง เกิดปิติปราโมทย์ เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงปลอดโปร่ง เหมือนดอกไม้แย้มบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ ตรงกับ พระพุทธองค์ ทรงสอนว่า "นตฺติ สนฺติ ปรมํ สุขํ หมายถึง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"

                             *******************************************************  
         ความเข้าใจเรื่อง " บุญ"
         "การทำบุญ" เป็นการทำความดีทุกประการ ประพฤติทางกาย วาจาใจ ให้ถูกต้อง มีสภาวะเป็นการชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกไป เพี่อให้กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ สะอาด ทำให้ผู้ปฏิบั่ติประสบความสุขกายเย็นใจ มีความเจริญทั้งในปัจจุบันและอนาคต
         ชาวพุทธโดยมากนิยมทำบุญด้วยการตักบาตร นำอาหารไปถวายพระที่วัด สละทรัพย์สิ่งของบำรุงวัด ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน นิมนต์พระมา เจริญพระพุทธมนต์และฉันเพลที่บ้านบางโอกาส ฯลฯ เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำบุญ
         เมื่อตั้งใจจะทำบุญแล้ว ยังต้องละบาปอีกด้วย คือ งดเว้นการประพฤติในทางที่ทำให้ใจมีความเศร้าหมอง ถ้าทำบุญแต่ไม่ละเว้นบาป เปรียบเหมือนอาบน้ำเค็ม เนื้อตัวไม่สะอาด
         "ผลของบุญ" ไม่ใช่วัตถุที่พึงปราถนา ไม่ได้มาในรูปของวัตถุ ไม่ควรหวังผลเป็นก้อน เป็นชิ้นเป็นอัน เงินๆ ทองๆ ถ้าทำบุญแล้วปร

ะสบโชคดี ก็ให้ถือว่าบุญก็ส่วนของบุญ โชคดีก็เป็นส่วนของโชคดีไป ไม่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันโดยตรง แต่ถ้าทำบุญแล้วทำให้จิตใจบริสุทธิ์สะอาด ผลคือใจบริสุทธิ์
         "บุญ" กับ "กุศล" เป็นของคู่กัน แต่ต่างกัน คือ "บุญ" นั้น อาจผิดๆ ก็ได้ ทำถูกต้องก็ได้ ทำให้ใจฟูหรือทำให้หมด กิเลสได้ทั้งสองทางแล้วแต่ว่าทำด้วยสติปัญญาหรือไม่ ถ้าทำด้วยสติปัญญา มีความฉลาดเป็นตัวนำแล้วจะผิดไม่ได้ มีแต่ถูกต้อง และมีผลคือการกำจัดกิเลส จึงเป็นทั้ง "บุญ" ทั้ง "กุศล"
         ความเข้าใจเรื่อง "การทำทาน"
         "ทาน" แปลว่า การให้ วัตถุที่ให้ ให้สิ่งของที่ต้องประสงค์ของผู้รับเพื่อประโยชน์ของผู้รับ มนุษย์อยู่กันได้ด้วยทาน ถ้าปราศจากทานแล้วโลกจะร้อนระอุราวกับไฟไหม้ที่เดียว
         "อามิสสทาน" ได้แก่ การให้สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองเครื่องมืออุปกรณ์ ของใช้ การให้ยืมของใช้ชั่วคราว การแบ่งปันกันกิน เป็นการแก้ปัญหาการขาด แคลนปัจจัยสี่ เป็นการเฉลี่ยของจากคนที่มีเหลือกินเหลือใช้ไปสู่ผู้ที่ขาดแคลน
         ทานที่เป็นนามธรรมได้แก่ การให้น้ำใจไมตรี ความเอื้ออารี เช่น สละที่นั่งในรถโดยสารให้คนชรา คนขับรถยนต์หยุดรถให้คนเดินข้ามถนน การยกย่อง การชื่นชม แม้แต่การยิมทักทายปราศรัย ถามไถ่สุขทุกข์ การสละแรงกาย ช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ จัดว่าเป็นทาน 
          ธรรมทาน เป็นทานที่มีค่ายิ่งกว่าอามิสสทาน ได้แก่การให้ความรู้โดยวิธีบอก กล่าวแนะนำ ในทางที่ถูกที่ชอบด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร ให้คนอื่นได้ฟังหรืออ่าน เกิดความรู้ ความเข้าใจจนสามารถปฎิบัติตนประสบความสำเร็จและเอาตัวรอดพันจากทุกข์ได้
         ธรรมทานอีกอย่างหนึ่งคือ การปฎิบัติให้ดูเป็นแบบอย่างที่ดีที่ถูกต้อง เช่น บิดามารดาประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุตรธิดา ครูอาจารย์ ประพฤติเป็น แบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ ฯลฯ
         โดยทั่วไปแล้ว ธรรมทาน หมายถึง การให้ความรู้ทางธรรมะแก่บุคคลอื่น ผู้ที่จะให้ธรรมเป็นทานแก่ใครได้ ผู้นั้นจะต้องมีความรู้ ทางธรรมสูงหรือได้ศึกษามาทางธรรมพอควร
    พระพุทธองค์ตรัสว่า "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง หรือธรรมทานเป็นเลิศยิ่งกว่าทานทั้งปวง
    อภัยทาน เป็นทานชั้นสูงอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่การไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่ผูกเจ็บผู้แค้น บาดหมางใจกับผู้ที่มาล่วงเกิน
    การพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องขังหรือต้องโทษหนักถึงประหารชีวิต การออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือล้างมลทินโทษ จัดอยู่ในอภัยทาน
    "ทาน ต่างกับ บริจาค"
    ทาน เป็นการให้สิ่งที่พึงประสงค์แก่บุคคลหรือสัตว์ ต้องเป็นสิ่งที่ดีมีประโยนช์ โดยผู้รับเป็นผู้ได้ประโยนช์ในการบริโภค ใช้สอย ความพอใจ ซึ่งอาจจะเป็นวุตถุสิ่งของหรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ธรรมทานหรืออภัยทาน ล้วนเป็นทานทั้งสิ้น
    บริจาค หรือ จาคะ
เป็นการสละเพื่อให้สิ้นกิเลสหรืออาสวะ ต้องทำให้กิเลศหมดไป เป็นการสละสิ่งที่ไม่ดี เป็นความชั่ว ในตัวของตนออกไป เช่น ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความริษยา ตลอดจนอบายมุขต่างๆเป็นต้น จึงไม่เกี่ยวกับผู้รับ
    จุดประสงค์ของทานหรือบริจาค
ก็เพื่อการลดละกิเลส การให้ที่ยังไม่ทำลายกิเลสของผู้ให้ ผลดีเกิดแก่ผู้รับฝ่ายเดียว ผู้ให้มีแต่สิ้นเปลืองแล้วยัง มีกิเลสอยู่เหมือนเดิมหรืออาจมากกว่าเดิม
 


(1)ความเครียดหรือ Stress นี้เป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคจิต, โรคประสาท, ปวดศรีษะ, นอนไม่หลับ, โรคแผลในกระเพาะอาหาร, โรคแผลในลำไส้ใหญ่, โรคข้ออักเสบ, โรคหืด, ลมพิษ, โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคไต, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

(2)วิปัสสนาภูมิ คือ แนวการปฏิบัติกรรมฐานสำหรับผู้เจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์นั้น จะต้องปฏิบัติตามวิปัสสนาภูมิ  6 ประการ ได้แก่ ขันธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18  อินทรีย์ 22  อริยสัจ 4  ปฎิจจสมุปบาท 12 จะนำไปปฏิบัติตามแนวทางใดแนวทางหนึ่งก็แล้วแต่ถนัด จะทำให้อยู่ในโลกนี้ด้วยความไม่เป็นทุกข์หรือเป็นทุกข์น้อยลง เพราะท่านได้รู้ความจริงของโลก ไม่หลงโลก ไม่แบกโลกไว้ด้วย อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น

มีต่อ..

สนเทศน่ารู้  ขึ้นด้านบน 

ปรับปรุงล่าสุด : 20 ธันวาคม 2549 15:21:29 น.