|
หน้าหลัก
คำนิยามและความเป็นมา
สถิติข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ
แผนนโยบายของรัฐกับงานผู้สูงอายุ
การสร้างเสริมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ
โภชนาการทั่วๆ
ไป
โรคต่างๆที่มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
การศึกษาหาความรู้
การดำรงในศาสนธรรม
การดูแลเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ
การเตรียมตัวเข้าสู่วัยสูงอายุ
บทความและงานวิจัยที่น่าสนใจ
หน่วยงาน
คณะกรรมการ
ที่เกี่ยวข้องกับงานผู้สูงอายุ
รวบรวมข้อมูลโดย :
งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ
ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
|
|
การดูแลตนเองของผู้สูงอายุ
การดำรงอยู่ในศาสนธรรม
 ที่พึ่งอันประเสริฐ
(3)
 พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ
หมายถึง ตนนั่นแหละ
เป็นที่พึ่งแห่งตนจะไปพึ่งคนอื่นหาได้ไม่"
ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็ให้ปฏิบัติตาม
แล้วอย่าหยุดเพียงความเป็นคน
ให้พัฒนาตนขึ้นเป็นมนุษย์
เป็นเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหม,
หรือไม่ต้องเป็นเทวดาอินทร์พรหมก็ได้
พัฒนาจิตใจจนกลับเข้ามาเป็น
"พระ" เลย
พระแปลว่าผู้ประเสริฐ
ที่ประเสริฐก็เพราะเป็นผู้ปฏิบัติดี
เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติ
เพื่อรู้ธรรม
เครื่องออกจากทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติได้สมควรจนออกจากทุกข์ได้
นี่แหละ เรียกว่าพระ
เรียกว่าผู้ประเสริฐ
ให้พึ่งตนพัฒนาตนจนเป็นพระให้ได้
 เห็นธรรม
 พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม
ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ได้ไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นเรา
แม้จะจับชายจีวรเราอยู่
จับมือเราอยู่
ก็ไม่ได้ชื่อว่าเห็นธรรม
ไม่ได้ชื่อว่าเห็นเรา
นี่เป็นหลักที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
จะได้ปฏิบัติไม่ผิด และได้รับผลเป็นการเห็นธรรมที่แท้จริง
 พระพุทธเจ้า
คือ ภาวะความ สะอาด-สว่าง-สงบ
 สะอาด
คือ
ความที่จิตใจปกติไม่มีมลทิน
 สว่าง
คือ ความที่รู้เห็น
ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในจิตใจของตัวเอง
 สงบ
คือ
ความที่จิตใจปราศจากความคิด
โลภ-โกรธ-หลง ความคิด โลภ-โกรธ-หลง
นี่แหละ คือทุกข์
พระพุทธองค์ จึง
ตรัสสอนเอาไว้ว่า : มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด,มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
 การทำวิปัสสนา-เห็นธรรม
นั้น
จึงต้องเห็นความคิดของเรานี่เอง,
ไม่ใช่ไปเห็น แสง สี ผี
เทวดา
 ความสงบ-นิพพาน
นิพพาน
แปลว่าสงบ จิตใจของคนเราที่เป็นปกติอยู่นี่แหละ ท่านเรียกว่าสงบ การไปเห็น สี
แสง ผี เทวดา อย่างนั้น จิตใจจะสงบได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ที่นี่คำว่า "ความสงบ" นี้มีอยู่
2 ลักษณะ หรือ
2 อย่าง ขอให้พิจารณาใคร่ครวญ เลือกให้ถูก คือ
1).
สงบอยู่ใต้โมหะ เรียกว่าสงบแบบอยู่ในถ้ำ
คนอยู่ในถ้ำมันมืด ไปไหนมาไหนน่ารำคาญ,
ได้แก่ คนที่นั่งให้สงบ
คือสงบแบบนั่งทื่อเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวด
ไม่เห็นจิตใจ
ไม่เห็นความคิดที่เกิดขึ้น;
2).
สงบอยู่ใต้สติปัญญา เพราะปราศจาก
โทสะ-โมหะ-โลภะ
รู้เห็นจิตใจของตน,
รู้สึกตัวในการทำการพูด
การคิด
โดยสรุป
นิพพานแปลว่าความดับเย็นลงของกิเลสหมายถึงจิตใจที่เป็นปกติ
คนที่จิตเป็นปกติ
เช่นนี้
พอคิดปุ๊บจะเห็นปั์บทันที,
ส่วนคนที่จิตไม่ปกตินั้น
คิดไปตั้งร้อยเรื่องพันเรื่อง
แล้วไม่เห็นความคิดตนเอง
ส่วนคำว่า ศิล-สมาธิ-ปัญญา
นั้น ; ท่านสอนเอาไว้ว่า
ศิล
เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
สมาธิ เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง
ปัญญา
เป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
อันนี้อันเป็นคำกล่าวในตำรับตำรา
แต่ในทางปฏิบัตินั้น
ครูบาอาจารย์
บอกสอนมาว่า:
กิเลสอย่างหยาบ
คือ โทสะ-โมหะ-โลภะ กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม
กิเลสอย่างกลาง
คือ เข้าไปติดในความสงบ
สงบแบบพราหมณ์
สงบแบบไม่รู้
สงบแบบไม่เห็นแจ้ง
เรียกว่า "รู้อย่างไม่รู้"
หรือ "สงบอยู่ใต้โมหะ"
กิเลสอย่างละเอียด
คือ เข้าไปติดในความรู้
ส่วนที่ละเอียดที่สุดที่จิตใจ
ได้แก่
การรู้เห็นสมุฏฐาน
ของความคิด
รู้เห็นอาการ เกิด-ดับ
จึงยังเป็น"ความมืดสีขาว"
ส่วนละเอียดที่สุด เป็น"วิปลาส"
กิเลสอย่างละเอียดนี้เราไม่ค่อยรู้
เราจะเห็นทุกข์นั้นแหละเป็นสุข
แต่ความจริงมันเป็นความมืดสีขาว
มันมาเบาๆ นิ่มๆ
วูปเดียวเท่านั้นเอง
การปฏิบัติธรรมนั้นจึงว่า
ให้คอยสังเกตความคิดที่เกิดขึ้นในจิตในใจ,
พอคิด-ปุ๊บ-เห็นปั๊บ
เหมือนแมวจับหนู
วิปัสสนาที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ว่าให้เจริญสติปัฎฐานสี่
ก็คือให้มีสติ ธรรมที่มีอุปการะมากท่านก็บอกว่า
มี 2 อย่าง คือ สติ
สัมปชัญญะ
1).สติ
ความระลึกได้ ก่อนทำอะไร
คิดอะไรก็ให้เรามีสติรู้
2).สัมปชัญญะ
ความรู้ตัว ขณะทำอะไร
คิดอะไรก็ให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ
สติ
สัมปชัญญะ
เมื่อพูดเป็นภาษาพูด
ก็คือ ให้รู้สึกตื่นตัว-รู้สึกตื่นใจ
อยู่เสมอนั่นเอง
ทางลัดระงับกิเลสเพื่อการดับทุกข์
1).ให้หมั่นเจริญสติในอิริยบท
: พลิกมือขึ้น
คว่ำมือลง ยกมือไป
เอามือมา เดินหน้า
ถอยหลัง เอียงซ้าย
เอียงขวา กระพริบตา
อ้าปาก กลืนน้ำลาย
หายใจเข้า หายใจออก
ก็ให้รู้ตัวทั่วพร้อม
อันนี้เรียกว่า
เรามีสติ เมื่อมีสติสมบูรณ์แล้วจะเกิดปัญญารู้-เห็นจริง
2).ต่อจากนั้นไปก็ให้เรามาบำเพ็ญทางจิต
คือ เอาสติดูจิต: จิตใจมันนึก
มันคิดอะไรก็ให้รูเท่า-รู้ทัน-รู้เอาชนะ
มันได้ เมื่อเรารู้เท่า-รู้ทัน-รูเอาชนะ
มันได้แล้ว เรียกว่า
เราได้บำเพ็ญทางจิต
3) ให้ทำจนคล่องแคล่วว่องไว
จนความโกรธ-ความโลภ-ความหลง
ไม่เกิดขึ้น
ก็เป็นการระงับดับทุกข์ทางจิตทางใจ
กิเลสจำพวกนี้จำเป็นต้องอาศัย
การฝึกสติให้เราเห็นจิตเห็นใจของเรา
ถ้าเราไม่เห็นจิตใจของเรา
เราจะรู้สึกมันว่างเปล่าคล้ายๆ
มันเป็นบ่อ เป็นเหว
อยู่นั้นแหละ
ไม่เต็มสักที
เมื่อเรามีสติก็หมายความว่ามันเต็ม
มันไม่เป็นบ่อเป็นเหว
แล้วความโกรธ-ความโลภ-ความหลง
ไม่มีที่จะเข้าไปได้
เพราะสติเต็มอยู่แล้ว
อ้างอิง
(3)
คัดลอก บางบทบางตอน
จากหนังสือ
พลิกโลกเหนือความคิด
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ยง พิทยานิยม.2537.ข้อคิด 10 ประการ สำหรับผู้สูงอายุุ.พิมพ์ครั้งที่
5.
กรุงเทพฯ:บริษัท เคล็ดไทย จำกัด.
สนอง อูนากูล. 2528. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่เร็ว
และอายุยืน. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง
หลวงพ่อเทียน
จิตฺตสุโภ(ภิกษุพันธ์
อัพทผิว). 2529. พลิกโลกเหนือความคิด.
กลุ่มปฏิบัติเทียนสว่างธรรม
จ.เลย: หจก.ภาพพิมพ์.
กลับหัวเรื่อง..
สนเทศน่ารู้
ขึ้นด้านบน
|