สนเทศน่ารู้ : วันปิยมหาราช
พระราชกรณียกิจ ด้านการยุติธรรม กฎหมายและศาล

พระราชประวัติ
พระราชกรณียกิจ ::>> ด้านสังคม | สาธารณสุขและสาธารณูปโภค | การเศรษฐกิจและการคลัง | การคมนาคมและการสื่อสาร | การศาสนา |
การยุติธรรม กฎหมายและศาล | การทหารและการป้องกันประเทศ | ภาษาและวรรณกรรม | ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม | การศึกษา |

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย และการศาลของประเทศ ให้ทันสมัยเป็นแบบยุโรป เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาต่างๆ ที่ไทยเสียเปรียบต่างประเทศอยู่ เนื่องจากนานาประเทศที่เข้ามาทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้ากับไทยในรัชกาลต่างๆ ไม่ยอมรับกฎหมายไทยซึ่งล้าหลัง และมีบทลงโทษรุนแรงตามแบบจารีตประเพณี ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ชาติต่างๆ จนกว่าจะปรับปรุงระบบกฎหมายและการศาลไทยให้ได้มาตรฐานสากล จึงจะได้เอกราชทางการศาลกลับคืน

สถาปนากระทรวงยุติธรรม

ภาพกระทรวงยุติธรรม
พระองค์ทรงส่งพระราชโอรสไปศึกษาวิชาการกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ
เมื่อพระโอรสสำเร็จการศึกษาจึงมีการปฎิรูประบบกฎหมาย และศาลขึ้นใหม่
จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นเมื่อ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔

         งานปฎิรูปกฎหมายชิ้นแรก คือ การสถาปนากระทรวงยุติธรรม เพื่อให้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านศาลยุติธรรมอย่างแท้จริง เพราะที่เป็นอยู่ศาลไทยแยกกันอยู่หลายกระทรวง การปฏิบัติงานไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจัดระบบศาลยุติธรรมให้เป็นระเบียบแบบแผนเดียวกัน โปรดให้จัดตั้งศาลหัวเมือง โดยเริ่มที่มณฑลกรุงเก่าเป็นแห่งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ และต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๕๑ ก็โปรดให้ตราพระราชธรรมนูญศาลยุติธรรมขึ้น

         ในการปรับปรุงการยุติธรรมของประเทศ พระองค์โปรดให้ว่าจ้างเนติบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญกฎหมายการต่างประเทศเข้ามารับราชการเป็นที่ปรึกษา ได้แก่ นายกุสตาฟ โรแลง แยกแมงส์ (Gustave Rolin Jaequemyns) ชาวเบลเยียม ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยราชา สยามนุกูลกิจ เป็นต้น

^ ขึ้นด้านบน


ตั้งโรงเรียนกฎหมาย



ศาลาการกระทรวงยุติธรรม เมื่อแรกสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในการปฎิรูประบบกฎหมายและการศาล ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘
เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการยุติธรรมอย่างแท้จริง และนับเป็นการแยกอำนาจตุลาการออกจากฝ่ายบริหารเป็นครั้งแรก

         ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสำเร็จกฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดประเทศอังกฤษ ทรงเป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้งโรงเรียนกฎหมาย เพื่อผลิตนักกฎหมายไทยเข้าบริหารงานกระทรวงยุติธรรมตามมาตรฐานตะวันตก และทรงเป็นประธานทำหน้าที่ตรวจสอบชำระกฎหมายเก่าใหม่ที่มีอยู่ในครั้งนั้น

         เมื่อสร้างประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้แล้ว บทลงโทษจารีตดั้งเดิมจึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิงในรัชกาลของพระองค์เอง

^ ขึ้นด้านบน


ตรากฎหมายสำคัญ

         กฎหมายสำคัญที่ตราขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นผลให้การปฏิบัติการศาล และกฎหมายของไทยประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศต่อมา เช่น

  • พระราชบัญญัติจัดการในศาลสถิตยุติธรรม ๑๑๑ (พุทธศักราช ๒๕๓๘)
  • พระราชบัญญัติลักษณะพยาน ๑๑๓ (พุทธศักราช ๒๔๓๗)
  • พระราชบัญญัติกระบวนพิจารณาความแพ่ง ๑๑๕ (พุทธศักราช ๒๔๓๙)
  • พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความ มีโทษสำหรับใช้ไปพลางก่อน ๑๑๕ (พุทธศักราช ๒๔๓๙)
  • พระราชบัญญัติ อุทธรณ์ ๑๒๓ (พุทธศักราช ๒๔๕๑)
  • กฎหมายลักษณะอาญา ๑๒๗ (พุทธศักราช ๒๔๕๑)

^ ขึ้นด้านบน


อ้างอิง
คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๖. เทิดพระเกียรติ ๑๕๐ ปี สมเด็จพระปิยมหาราช. กรุงเทพฯ. คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี.
สุภักดิ์ อนุกูล. 2530. วันสำคัญของไทย. กุรงเทพฯ. อักษรบัณฑิต.

ภาพประกอบ
คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๖. เทิดพระเกียรติ ๑๕๐ ปี สมเด็จพระปิยมหาราช. กรุงเทพฯ. คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี.

รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด

สนเทศน่ารู้  ขึ้นด้านบน 

  
ปรับปรุงล่าสุด : 26 ธันวาคม 2549 15:44:28 น.