|
พระราชประวัติ
พระราชกรณียกิจ ::>>
ด้านสังคม |
สาธารณสุขและสาธารณูปโภค |
การเศรษฐกิจและการคลัง |
การคมนาคมและการสื่อสาร |
การศาสนา |
การยุติธรรม กฎหมายและศาล |
การทหารและการป้องกันประเทศ |
ภาษาและวรรณกรรม |
ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม |
การศึกษา |
การปกครอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักปกครองที่ทรงพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าแต่โบราณมา
ผสมผสานกับประเพณีการปกครองอย่างนิยมกันในทวีปยุโรป แล้วทรงปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นลำดับ ตามลำดับ
ตามสถานการณ์และความเหมาะสม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่พระองค์ทรงดำริ และริเริ่มในแผ่นดิน
ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยที่มุ่งหวังให้เท่าเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่พระองค์ทรงมิได้ปฎิบัติพระองค์แบบผูกขาดอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
ทรงให้อิสระทางความคิด และทรงแต่งตั้งบุคคลเพื่อถวายความคิดเห็นแก่พระองค์
ทรงโปรดให้แต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๗
และปีเดียวกันทรงตั้งสภาองคมนตรี (Privy Council) ขึ้นเป็นสภาที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะกรมขึ้นเป็นกระทรวงมีเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง
จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน
ในปลายรัชกาลได้ปรับปรุงกระทรงใหม่เหลือ ๑๐ กระทรวง
การปกครองในส่วนภูมิภาค โปรดให้จัดตั้งแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๓๗
คือ รวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็นมณฑล ซึ่งมีถึง ๑๔ มณฑล แต่ละมณฑลมีจังหวัด คือ เมืองในปกครอง ๓-๔ จังหวัด
จังหวัดหนึ่งแบ่งเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ผู้บริหารมณฑล เรียกว่า "สมุหเทศาภิบาล"
หรือข้าหลวงใหญ่ ส่วนผู้บริหารจังหวัดเรียกว่า "ข้าหลวงจังหวัด" ขึ้นตรงต่อข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑล
มีนายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ปกครองเขตท้องที่ในจังหวัด ทุกมณฑลมีกองทัพมณฑลไว้ป้องกันเหตุร้าย
โดยมีแม่ทัพมณฑลขึ้นตรงต่อเสนาบดีกลาโหม ซึ่งมีเสนาบดีกระทรวงดูแลเป็นสัดส่วนขึ้นมาถึงพระมหากษัตริย์
องค์พระผู้เป็นประมุขของประเทศทำให้การปกครองสามารถสร้างเอกภาพได้
นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรับพระราชทานเงินเดือนประจำ
และมีการแต่งตั้งเจ้าเมือง โดยยึดถือความรู้ ความสามารถแทนการสืบสายโลหิต
ทั้งเพื่อให้บริหารราชการแผ่นดินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วพระอาณาเขต
กระทรวงมหาดไทย
การบริหารส่วนราชการภูมิภาค พระองค์โปรดให้ปรับปรุงราชการหัวเมืองเสียใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๗
โดยให้จัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล อยู่ในความปกครองของกระทรวงมหาดไทยแต่เพียงกระทรวงเดียว
|
กระทรวงกลาโหม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้พันเอกเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
สร้างตึกใหญ่ขึ้นที่ข้างพระบรมมหาราชวัง ใกล้ข้างศาลหลักเมือง ใน พ.ศ. ๒๔๒๔
และโปรดให้สถาปนาจากกรมขึ้นเป็นกระทรวง เมื่อ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๔
|
กระทรวงยุติธรรม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย
และการศาลของประเทศไทยให้ทันสมัยได้มาตรฐานสากล
จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนากระทรวงยุติธรรมขึ้นเมื่อ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๔
เพื่อให้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านศาลยุติธรรมอย่างแท้จริง
|
^ ขึ้นด้านบน
การเลิกทาส
ประเทศไทยนั้นมีการใช้ทาสมาเป็นเวลานานเพื่อใช้ทำกิจการต่างๆ ในบ้านเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่สูงศักดิ์
พระองค์ทรงใช้ความวิริยะอุตสาหะที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ด้วยทรงพระราชดำริกับเสนาบดีและข้าราชการเกี่ยวกับเรื่องทาส
พระองค์ทรงคิดหาวิธีจะปลดปล่อยทาสให้ได้รับความเป็นไท ด้วยวิธีการละมุนละม่อม ทำตามลำดับขั้นตอน
ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๗ โปรดให้ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุของลูกทาส โดยกำหนดเอาไว้ว่าลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง
พุทธศักราช ๒๔๑๑ อันเป็นปีแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ให้ใช้อัตราค่าตัวเสียใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัตินี้
พออายุครบ ๘ ปี ก็ให้ตีค่าออกมาให้เต็มตัว จนกว่าจะครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ให้กลับเป็นไทแก่ตัว
เมื่อก้าวพันเป็นอิสระแล้วห้ามกลับมาเป็นทาสอีก ทรงพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คนขายตัวเป็นทาส
จึงประกาศยกเลิกบ่อนเบี้ย และขยายระบบการศึกษาให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น
ตลอดรัชกาลได้ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสหลายฉบับ ออกบังคับใช้ในมณฑลต่างๆ
ให้ลูกทาสเป็นไท ประกาศประมวลกฎหมายลักษณะอาญากำหนดบทลงโทษแก่ผู้ซื้อขายทาส
ให้มีความผิดเช่นเดียวกับโจรปล้นทรัพย์ ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเจ้านายและขุนนาง
ในการบำเพ็ญกุศลด้วยการบริจาคพระราชทรัพย์ไถ่ถอนทาส
พร้อมพระราชทานที่ทำกิน เป็นผลให้ระบบทาสที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาหลายร้อยปี
ก็ได้ถูกยกเลิกไปจนหมดสิ้น ด้วยพระราชหฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะ เป็นเวลาถึง ๓๐ ปี
ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จในพุทธศักราช ๒๔๔๘ สมตามพระราชปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้ พระราชกรณียกิจสำคัญนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของพลเมืองจากทาสมาเป็นสามัญชน
มีอิสรภาพทางสังคมเท่าเทียมกัน
ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม
ได้กลายเป็นราษฎรสยาม และต่างมีโอกาสประกอบอาชีพหลากหลาย
|
หุ่นจำลองความเป็นอยู่ของทาส สมัยรัชกาลที่ ๕
|
^ ขึ้นด้านบน
การเสด็จประพาสต้น และประพาสหัวเมือง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการเสด็จประพาสยิ่งนัก
ซึ่งจัดเป็นพระราชกรณียกิจเฉพาะพระองค์ เนื่องจากทรงปรารถนาที่จะทรงทำนุบำรุงราษฎร
พระองค์ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์แห่งประเทศชาติ
ตามพระราชปณิธานที่พระราชทานแก่ประชาชนคราวเสด็จกลับจากประเทศยุโรปว่า
"เราตั้งใจอธิษฐานว่า เราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างสุด ที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่งซึ่งมีอิสรภาพ และความเจริญ"
พระองค์ทรงเสด็จประพาสไปตามหัวเมืองน้อยใหญ่ในพระราชอาณาจักร เพื่อตรวจจัดการปกครอง
และสำราญพระอริยบถ ซึ่งการเสด็จพระพาสหัวเมืองภายในนั้น
พระองค์เสด็จอย่างเป็นทางการมิได้เสด็จเยี่ยงพระมหากษัตริย์เสมอไป
บางครั้งก็เสด็จอย่างสามัญชน บางครั้งก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารทางรถไฟมิให้ใครรู้
เรียกกันโดยทั่วไปว่า "เสด็จประพาสต้น"
ในการเสด็จสมาคมกับราษฎรอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เองนั้น
ทำให้ทรงได้พบเห็นการปกครองของข้าราชการที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ออกไปทำงานต่างพระเนตรต่างพระกรรณอีกด้วย
ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกร
|
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในระหว่างการเสด็จประพาสต้น
|
^ ขึ้นด้านบน
การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินพระราโชบายโดยหลักสัมพันธไมตรีผ่อนหนักผ่อนเบา
ถือเอาแต่สาระประโยชน์เป็นสำคัญ จึงทรงสามารถระงับเหตุการณ์อันเกิดขึ้นในขณะนั้นได้
ส่วนความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ได้ทรงมีพระราชไมตรีกับประเทศออสเตรีย และฮังการี รัสเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ
ทรงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศทีมีไมตรีกันมาแต่ก่อนแล้วให้ยืนยง มีราชการไปมาต่อกันมากขึ้น
แต่งตั้งอัครราชทูตให้ประจำ ณ สำนักต่างๆ เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๔
แม้จะมีข้อบาดหมางกับบางประเทศด้วยสาเหตุต่างๆ ซึ่งต่างรักษาผลประโยชน์ของตน
พระองค์ยังทรงมุ่งหวังผลแห่งการประนีประนอมยอมตกลงกันโดยไมตรี
ทำให้พระเกียรติยศแผ่กว้างขวางออกไป เมื่อมีการประชุมนานาประเทศด้วยกิจการใดจึงได้รับเชิญเนืองๆ
เช่น การประชุมสากลไปรษณีย์ ณ เมืองเบอร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
และการประชุมเรื่องการรักษาความสงบระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ในรัชกาลของพระองค์ มีพระมหากษัตริย์ตลอดจนเจ้านายต่างประเทศเสด็จเข้ามาเยือนไทยหลายพระองค์
อาทิ สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ พระเจ้ากรุงรัสเซีย ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมาร
เจ้าชายวัลดิมาร์ และเจ้าชายแอกเซล แห่งเดนมาร์ก เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์ นิโคลาสที่ ๒ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ประเทศรัสเซีย
^ ขึ้นด้านบน
การเสด็จประพาสต่างประเทศ
ในการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศนั้น ความสำคัญประการหนึ่งก็คือ
การเสด็จประพาสยังต่างประเทศ ประโยชน์ที่ได้รับนอกจากเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว
ยังได้ทอดพระเนตรแบบอย่างอันดีของประเทศนั้นๆ เพื่อนำกลับมาปรับปรุงพัฒนาบ้านเมืองตามความเหมาะสมอีกด้วย
ปีพุทธศักราช ๒๔๑๓ ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งแรก
ทรงเลือกที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง คือ ประเทศสิงคโปร์
และประเทศชวา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศในแถวอินโดจีน
และเพื่อเรียนรู้การปกครองจากทั้ง ๒ ประเทศ แต่ในขณะนั้นประเทศแถบอินโดจีนถูกรุกราน
และตกเป็นเมืองขึ้นจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกเป็นจำนวนมาก
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์จึงตั้งพระทัยจะเสด็จประพาสยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
และร่วมปรึกษาหารือในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองกับประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น
ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี ออสเตรเลีย
ฮังการี เนเธอแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ อียิปต์ และเยอรมนี ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
สมพระเกียรติในฐานะพระมหากษัตริย์ไทย
ทั้งนี้ นับเป็นพระมหากษัตริย์จากเอเชียหรือบูพาทิศพระองค์แรกที่เสด็จประพาสยุโรป
สวนสาธารณะบัวร์ เดอบูลอญ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (ฉายเมื่อ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๐)
|
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงประพาสรัสเซีย
|
^ ขึ้นด้านบน
อ้างอิง
คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๖.
เทิดพระเกียรติ ๑๕๐ ปี สมเด็จพระปิยมหาราช.
กรุงเทพฯ. คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี.
สุภักดิ์ อนุกูล. 2530. วันสำคัญของไทย. กุรงเทพฯ. อักษรบัณฑิต.
ภาพประกอบ
คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๖.
เทิดพระเกียรติ ๑๕๐ ปี สมเด็จพระปิยมหาราช.
กรุงเทพฯ. คณะกรรมการสวัสดิการ สำนักนายกรัฐมนตรี.
รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
สนเทศน่ารู้
ขึ้นด้านบน
|