พริกเรื่องเผ็ดร้อนที่น่ารู้

พริกเรื่องเผ็ดร้อนที่น่ารู้

ตั้งแต่เล็กจนโตเราจะพบว่าในอาหารไทยส่วนใหญ่ มีพริกเป็นเป็นเครื่องปรุงอยู่ด้วยเสมอ เดิมเราจะได้ยินอยู่เสมอว่าการบริโภคพริกมากเกินไปไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพริกมากขึ้น ทำให้เราพบว่า นอกจากพริกจะมีสีสัน และความเผ็ดร้อนจะช่วยให้อาหารดูดีมีรสชาติขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นยา เป็นอาหารเสริมสุขภาพอีกด้วย

พริกเป็นพืชในวงศ์โซลานาซิอี (Solanaceae) เช่นเดียวกับมะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ และอยู่ในสกุลแคปซิคัม (Capsicum) ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และมีประวัติการใช้มายาวนานหลายพันปีก่อนที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะสำรวจพบทวีปอเมริกาเสียอีก เมื่อเขาได้ลิ้มลองรสชาติที่น่าพิศวง เขาจึงนำพืชชนิดนี้ไปเผยแพร่ในยุโรป โดยเรียกชื่อเสียใหม่ว่า พริกแดง (red pepper) ตามลักษณะของสี

หลายคนสงสัยว่าทำไมพริกจึงมีรสเผ็ด?

จากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์พบว่าในพริกมีสารเคมีชื่อ แคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้พริกมีรสเผ็ด แคปไซซินเป็นสารธรรมชาติจำพวกอัสคาลอยด์ มีสูตรโมเลกุลคือ C18H27NO3 เสน่ห์ของพริกไม่ได้อยู่ที่ความเผ็ดแต่เพียงอย่างเดียว แต่คุณค่าทางอาหารคือสิ่งที่ทำให้พืชชนิดนี้ได้รับความสนใจ ในการค้นคว้าและทดลองอย่างกว้างขวาง สีเหลือง สีส้ม และสีอื่น ๆ ที่มีอยู่มากมายถึง 20 ชนิดในพริกก็เป็นสารที่ให้ประโยชน์ ที่สำคัญได้แก่ เบตาแคโรทีน (Beta-carotene ) เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้พริกยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณที่สูงมากโดยมีปริมาณที่สูงมากกว่าในผลส้มเสียอีก โดยในพริก 28 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง100 มิลลิกรัม และวิตามินเอถึง 16,000 หน่วย

ในปี พ.ศ. 2456 หรือประมาณ 90 ปี มาแล้ว มีผู้ริเริ่มวัดค่าความเผ็ดของพริกเป็นคนแรก คือ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนี ชื่อ วิลเบอร์ สโควิลล์ (Willbur Scoville) โดยใช้กลุ่มคนที่ชอบทานพริกเป็นกลุ่มทดลอง ต่อมาได้มีการพัฒนาเครื่องมือชื่อ เอช พีแอล ซี (HPLC – pressure liquild chromatography) เข้าช่วยวัด และปรากฏผลความเผ็ดดังนี้

  • อันดับที่หนึ่ง ฮาบาเนโรแดงซาวีนา มีความเผ็ด 580,000 หน่วย นับว่าเผ็ดที่สุดในโลก
  • อันดับที่สอง ฮาบาเนโร
  • อันดับที่สาม พริกขี้หนู พริกสก็อต บอนเนท พริกจาเมก้า
  • อันดับที่สี่ พริกชี้ฟ้า เป็นพริกที่มีความเผ็ดระดับปานกลาง
  • อันดับที่ห้า พริกหยวก หรือพริกหวาน เป็นพริกที่ไม่มีความเผ็ดเลย มีความเผ็ดเป็น 0 หน่วย

ประโยชน์ของพริก

  1. ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด และทำให้การหายใจสะดวกขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือสารกีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องจากการเป็นหวัด
  2. ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดความดัน ทั้งนี้ เพราะสารพวกเบต้าแคโรทีน และวิตามินซีช่วยเสริมสร้างหลอดเลือดให้แข็งแรง เพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
  3. ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเทอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันไม่ให้ตับสร้างคอเลสเทรอลชนิดไม่ดี ( LDL)
  4. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
  5. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
  6. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดี
  7. เป็นเครื่องป้องกันตัว

อัพเดท ฉ.191 ส.ค. 2546

ภาพประกอบ
Fotobox_Petra0107. (2557, 13 กรกฎาคม). พริก. ค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2561, https://pixabay.com/photo-391534/

บทความโดย ชุติมา เรืองอุดม
ข่าวรามคำแหง ปีที่ 34 ฉบับที่ 11 วันที่ 5-11 กรกฎาคม 2547