6 ข้อดีดื่มน้ำบรรเทาหวัด
All Posts
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูแลสุขภาพเป็นพิเศษมักเป็นหวัดได้ง่าย “โรคหวัด” เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้มีอาการปวดศรีษะ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ จาม มีเสมหะ ถ้าไม่ดูแลรักษาตัวให้ดีอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เมื่อเป็นหวัดแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพราะน้ำสามารถช่วยเยียวยาร่างกายให้หายจากหวัดได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่.. น้ำช่วยละลายเสมหะไม่ให้เหนียว โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น ช่วยลดไข้หากไข้ขึ้นสูง น้ำนี่แหล่ะที่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นลงได้ ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ช่วยให้เยื้อบุจมูกที่บุช่องทางเดินหายใจส่วนบนทำหน้าที่ได้ดีขึ้น จึงช่วยลดอาการคัดจมูก ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอักเสบ ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นจากอาการไข้ได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น หากอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติมากขึ้น แนะนำให้ลองดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เพราะวิตามินซีช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น ส่วนคนที่มีอาการเจ็บคอสามารถบรรเทาอาการโดยใช้เกลือละลายน้ำอุ่นกลั้วคอ 2-3 วันติดต่อกัน อาการจะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยาค่ะ ที่มา : บริการชีวจิตโฟน นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 191 ปีที่ 8 กันยายน 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
5 วิธีลดความดันสูงด้วยการรักษาทางเลือก
All Posts
ปริมาณเกลือที่รับประทาน มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ที่รับประทานเกลือมาก จะพบว่ามีความดันสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อยกว่า ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดจะต้องลดเกลือ เพิ่มผักผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตรวจเช็คความดันโลหิตทุก 6 เดือน และหากพบความดันโลหิตสูงผิดปกติ ควรรีบดูแลรักษาและปรับพฤติกรรมตามหลักปัญจกิจ หรือร่วมกับ 5 แนวทางการรักษาทางเลือกที่เรานำมาฝากกันค่ะ 1. คันธบำบัด มีคำแนะนำมากมายจากอโรมาเทอราปิสต์ ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยบางชนิดช่วยบำบัดอาการ และทำให้ผ่อนคลาย เช่น น้ำมันหอมระเหย กลิ่นคาโมไมล์ ลาเวนเดอร์ 2. การบำบัดด้วยอาหาร ด้วยการลดปริมาณเกลือโซเดียม และหันมาเพิ่มอาหารที่มีธาตุโพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีมากในผักและผลไม้สด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้วย มันฝรั่ง และผักใบเขียวต่างๆ เช่น เซเลอรี่(ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) ซึ่งถือเป็นผักที่ดีในการลดความดันโลหิต 3. การบำบัดด้วยสมุนไพร การดื่มน้ำสมุนไพรจากขึ้นฉ่าย กระเจี๊ยบแดง และบัวบก เป็นต้น 4. การผ่อนคลายและทำสมาธิ เทคนิคการทำสมาธินั้นมีประโยชน์ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต จากการศึกษามีคำแนะนำว่า การทำสมาธิ 20 นาที วันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิตได้ 5. โสตบำบัด คำแนะนำจากนักวิจัยเพื่อช่วยลดความดันโลหิต คือให้ฟังเพลงที่ช่วย ผ่อนคลาย แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วปล่อยให้ตัวเองซึมซับเอาพลังงานเสียงเข้าไว้ ความดันโลหิตสูงนั้นป้องกันได้ ถ้าเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวคุณ สู่วิถีชีวิตที่มีความสุขทั้งกายและใจตั้งแต่วันนี้ ที่มา : เกร็ดสุขภาพ (วัยสูงอายุ) นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 191 ปีที่ 8 กันยายน 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
วัย 50 กินวิตามินเสริมแบบไหน
All Posts
แร่ธาตุมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่คุณทราบไหมว่า แร่ธาตุยังช่วย เสริมสร้างส่วนที่เสื่อมลงได้ด้วย ดังนั้น เมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้นเราจึงต้องการแร่ธาตุอย่างพอเพียงมาช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แล้วในวัย 50 ปีขึ้นไป ต้องการแร่ธาตุตัวไหนบ้าง อันดับแรกที่นึกถึงคือ แคลเซียม เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในกระดูก และลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน พบมากใน นม เนื้อสัตว์ ปลา ถั่วเหลือง วิตามิน บี 12 จะช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และโรคทางระบบประสาท วิตามิน อี จะช่วยชะลอริ้วรอย ลดอัตราการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคที่มักเกิดกับผู้สูงวัย โครเมียม เป็นตัวช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ และเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ยังมี เบต้า-แคโรทีน ทองแดง ไอโอดีน สังกะสี วิตามินซี และแร่ธาตุกลุ่มน้อยอย่าง ซีเลเนียม ซิลิกอน วานาเดียม นิเกิล ที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 50 ปี เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว การรักษาสมดุลของคุณในวัย 50 ปีขึ้นไป ให้มีความแข็งแรงจนหนุ่มๆ สาวๆ อิจฉา จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ที่มา: คอลัมน์ Vitamin Corner นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 30 ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
วิธีกินบุฟเฟ่ต์อย่างได้คุณค่า
All Posts
เราควรจะรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ควรจะพอ และหยุดกิน ไม่ใช่กินเพื่อให้คุ้มตามข้อเสนอที่ทางร้านหยิบยื่น แต่เราต้องกินอย่างใส่ใจกับสุขภาพตระหนักถึงคุณประโยชน์ และโทษที่ได้รับด้วยเช่นกัน 1. กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง โดยทานเนื้อปลา หรือผักแทนที่ เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่ายอีกทั้งปราศจากไขมัน และไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง 2. กินอาหารที่ต้มหรือลวก โดยพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด 3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าสองสิ่งนี้ให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชาแทนที่ 4. สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่ 5. เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเรียกพนักงานให้เปลี่ยนอันใหม่ให้ ไม่ควรเกรงใจทนกินต่อไป เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะนั้นนอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งตัวฉกาจแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อนทำให้เนื้อที่ได้ไม่สุกดี 6. อย่ารีบทานจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยร่างกายในเรื่องการย่อยอาหาร 7. ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้นๆ ด้วยวิธีเบาๆ เช่น ค่อยๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกินอาหารแล้วนั้น อย่าเพิ่งล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบาๆ อื่นๆ ก่อน 8. รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ อย่าลืมว่า..สิ่งที่คุณจะได้รับไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็จะส่งผลจากสิ่งที่คุณกินเข้าไปนั่นเอง “You are what you eat” ที่มา: คอลัมน์ Special Report นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 30 ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ทำไมคุณถึงต้องการการกอด
All Posts
มือของคุณที่ยื่นออกไปกอดผู้อื่นเมื่อเวลาที่มีปัญหานั้น มีพลังมากกว่าที่คุณคาดคิดมาก การค้นพบใหม่จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนีย และมหาวิทยาลัย แห่งรัฐวิสคอนซินระบุว่า มันช่วยทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่นตัวมีความเยือกเย็นลง นักประสาทวิทยาได้ให้สตรีที่สมรสแล้ว 16 คน มาอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียด (พวกเธอทราบดีว่าได้รับการช๊อคด้วยไฟฟ้าอ่อนๆ) พอให้อาสาสมัครชายที่มีความเป็นเพื่อนเข้ามาจับมือสตรีเหล่านั้นแล้ว ผลสแกนพบว่าส่วนของสมองที่ตอบสนองต่ออันตรายนั้นมีกิจกรรมลดน้อยลง และผลยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ที่ยื่นมือให้จับเป็นคู่สมรสของสตรีเหล่านี้เอง ด๊อกเตอร์ เจมส์ โคแอน, Ph.D. หัวหน้านักวิจัย และศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยา และวิทยาศาสตร์ด้านประสาทจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวอร์จิเนียระบุว่า “ที่จิตใจผ่อนคลายลงอาจเป็นเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นคอยช่วยเหลืออยู่” ส่วนการสัมผัสในรูปแบบอื่น เช่น การกอด, โอบไหล่ ก็ยังอาจช่วยลดความกระวนกระวาย และลดปริมาณฮอร์โมนความเครียดที่สมองผลิตลงได้ ที่มา: คอลัมน์ข่าวสารการวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพ หนังสือ อาหาร&สุขภาพ ปีที่ 19 ฉบับที่ 122 พ.ศ. 2549 ที่มาภาพ: http://www.buffettimages.org รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด