> พระราชประวัติ 
 > พระราชบิดาแห่งอักษรไทย
 > พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล 
 > ธรรมะในศิลาจารึก 
 > ปกิณกะ 
    .... พระบรมสาทิสลักษณ์  
    .... มุมมองนักวิทยาศาสตร์ 
    .... ไม่มีผู้ใดปลอมได้ 
    ....    
 > สัตยาธิษฐาน 

 > บรรณานุกรม 
 > คณะผู้จัดทำ 

 > หน้าแรก 

 

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ไม่มีปัญญาชนผู้ใดปลอมได้ (ตอนที่ ๒)
 

          หากคุณไมเคิล ไรท์ จะอธิบายเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๓ นำจะใช้หลักฐานจากหนังสือ "Narrative of a Residence in Siam" ของ เฟรเดอริค อาร์เธอร์ นีล เป็นนักเผชิญโชคชาวอังกฤษที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๓๘๔ และเคยรับราชการกรมทหารม้า ตำแหน่งราชองครักษ์ของเจ้าฟ้าจุฑามณีด้วย หรือบันทึกรายวันของ Sir John Browring อัครราชทูตรัฐบาลอังกฤษเข้ามาทำสัญญาค้าขายที่เรียกว่า "สนธิสัญญาบราวริ่ง" ในสมัยรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๘) หนังสือทั้งสองเล่มเป็นบันทึกส่วนตัวของอัครราชทูตและปัญญาชนอังกฤษซึ่งเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เห็นเหตุการณ์และรู้จักปัญญาชนไทยและวัฒนธรรมไทยสมัยนั้นอย่างดี 
จากการบันทึกในหนังสือสองเล่มดังกล่าวจะเห็นว่า ชนชั้นปกครองไทยระมัดระวังการกระทบกระทั่งกันกับชาวตะวันตกอย่างไร และเห็นว่าปัญญาชนไทยและชั้นปกครองได้พัฒนาแนวคิดเรียนรู้ปรับตัวให้ทันกับชาติตะวันตกอย่างไร   

ดังตัวอย่าง

          สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๓) พระองค์มีเรือสำเภาค้าขายต่างประเทศ แม้ไม่มีหลักฐานว่าพระองค์รู้ภาษาอังกฤษ แต่พระบรมวงศานุวงศ์จำนวนหลายพระองค์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รู้ภาษาอังกฤษอย่างดี (อ่าน-เขียนได้) เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี (สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ สมัยรัชกาลที่ ๔) กรมหลวงวงศาธิราชสนิท พระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) และพระนายสิทธิ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นต้น

          นายเฟรเดอริค อาร์เธอร์ นีล ได้เขียนไว้ว่า มีกัปตันชาวอังกฤษหลายคนที่มารับราชการเป็นกัปตันเรือในกองทัพเรือ และเรือค้าขายต่างประเทศของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ไว้ในหนังสือ Narrative of a Residence in Siam (ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงสยามในทัศนะของชาวต่างประเทศ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๓๘๔) ว่า

          " เรื่องต่างๆ เหล่านี้ประกอบเป็นกองทัพเรือของสยามในตอนที่ข้าพเจ้าอยู่กองทัพเรือนั้น มีเรืออยู่ทั้งหมด ๑๔ ลำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ควบคุมและบังคับบัญชาโดยนายทหารเรืออังกฤษ ซึ่งเป็นผู้มีความชำนิชำนาญ และเคยผ่านการเดินเรือทะเลมาแล้ว " 

          แสดงว่าสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงรู้จักใช้คนโดยจ้างชาวอังกฤษเป็นกัปตันเรือรบ และเรือค้าขายต่างประเทศหลายคน ซึ่งเฟรเดอริค อาร์เธอร์ นีล ยังได้กล่าวถึงชื่อเรือรบและเรือสำเภาค้าขายแต่ละลำว่ามีชื่อไทย และชื่ออังกฤษ พร้อมทั้งบอกชื่อกัปตันชาวอังกฤษไว้ ๖ คน   การที่พระเจ้าอยู่หัวได้ค้าขายและคบกับคนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตกจำนวนมากนั้น แสดงว่าวิสัยทัศน์ของพระองค์ท่านย่อมกว้างไกล

          การที่ชนชั้นผู้ปกครองและปัญญาชนไทยมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจึงสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ดี ฉะนั้นการเจรจาความเมืองย่อมหลักแหลม ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และยอมรอมชอมกับชาติมหาอำนาจเหล่านี้ต่างหากที่ประเทศไทยจึงพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้

          นอกจากนี้ นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ ที่เข้ามาค้าขายในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓-๔ มี ส่วนช่วยในการประนีประนอม โดยอธิบายขนบธรรมเนียมราชสำนักและวัฒนธรรมไทยแก่ชาวอังกฤษ

          นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ อาศัยอยู่ในประเทศไทยนานเข้าใจคนไทยและรู้จักคุ้นเคยกับชนชั้น ปกครองจำนวนมากและพูดภาษาไทยได้ดี เป็นตัวกลางกันกระทบกระทั่งได้อย่างมาก เพราะอย่างน้อยหากขจัดปัญหาขัดแย้งได้มากเท่าไรธุรกิจการค้าของนายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ ย่อมเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น

          ภายหลัง นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ ได้รับพระราชทาน บรรดาศักดิ์เป็น หลวงอาวุธวิเศษประเทศพาณิช 

          อีกตอนหนึ่งที่ นายเฟรเดอริค อาร์เธอร์ นีล บันทึกไว้ในหนังสือของเขา ที่แสดงให้เห็นว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากหลายชาติในกรุงเทพฯ งานเลี้ยงคริสต์มาส ที่วังเจ้าฟ้าจุฑามณี ว่า

          จำนวนคนอังกฤษที่อยู่ในตอนนั้นจึงมีมากพอใช้ เมื่อเข้าโต๊ะรับประทานอาหาร ข้าพเจ้านับดูได้ประมาณ ๓๐ คน และมีชาวตะวันตกอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งทั้งทูตโปรตุเกสพ่อค้า รวมทั้งมิชชันนารีอเมริกันอีกจำนวนหนึ่ง  แสดงให้เห็นว่าในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ ๓ นั้นมีชาวตะวันตกจำนวนมาก และมีชนชั้นผู้ปกครองไทยได้ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะเจ้าฟ้าจุฑามณีนั้นรู้ธรรมเนียมชาวตะวันตก จัดเลี้ยงอาหารแบบชาวตะวันตกอย่างไม่บกพร่อง จนนายเฟรเดอริค อาร์เธอร์ นีล ได้แสดง ความเห็นไว้ตอนหนึ่งว่า 

          "ข้าพเจ้ายังระลึกถึงความหลังด้วยความยินดี ที่ได้สนุกสนานอยู่หลายชั่งโมงในวันคริสต์มาส ที่เมืองหลวงของสยาม ด้วยการต้อนรับขับสู้อย่างเป็นกันเองจากเจ้าชายสยาม ในขณะนี้เองข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่จะคิดว่า ในท่ามกลางความอนารยะเช่นนั้นและในที่เล็กๆ ยากที่คนจะรู้จัก ก็ยังอาจจะหาคนเฉลียวฉลาดได้รับการศึกษาอย่างดีเยี่ยมแล้ว เช่น เจ้าฟ้าจุฑามณี"

          จะเห็นว่าชนชั้นปกครองไทยส่วนใหญ่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เริ่มปรับตัวเข้ากับชาวตะวันตก ยอมรับวัฒนธรรมตะวันตก และเรียนรู้ความรู้สึกนึกคิดของชาวตะวันตกอย่างรวดเร็ว  ยกเว้นการเข้าเฝ้าแบบธรรมเนียมราชสำนักไทยกับชาวต่างชาตินอกจากอยู่ในพระราชพิธีทางราชการซึ่งแตกต่างกับชาติเพื่อนบ้าน  ด้วยเหตุผลดังกล่าวต่างหาก เป็นปัจจัยสำคัญให้ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษหาเหตุในการเข้ายึดครองไม่ได้ แม้แต่เมื่อครั้ง Sir John Browring เข้ามาทำสนธิสัญญาค้าขายสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ นั้น จะเห็นว่าชนชั้นปกครองไทยได้ยอมรับเงื่อนไขที่อัครราชทูตอังกฤษเสนอมาเกือบทุกประการ

          พูดง่ายๆ ว่าไทยยอมเปิดประเทศตามเงื่อนไขในสนธิสัญญาบราวริ่ง

          ต่อมาอีกไม่นานเมื่อฝรั่งเศสจัดการความยุ่งยากกับชาติเพื่อนบ้านในยุโรปได้เรียบร้อยแล้วก็แผ่อำนาจมายึดเขมร เมืองไทยจึงกลายเป็นรัฐกันชนระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง คือ ฝรั่งเศส และอังกฤษ

          ครับผมเขียนอธิบายมายืดยาว เพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่าประเทศไทยพ้นจากการยึดครองของชาติตะวันตกนั้น ไม่ใช่เพราะสร้างพิมพ์เขียว หรือปลอมศิลาจารึก ตามที่คุณไมเคิล ไรท์ พยายามจะอธิบายเชื่อมโยงกัน แต่มีปัจจัยอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นต่างหาก

          การที่คุณไมเคิล ไรท์ พยายามชี้ให้เห็นว่าปัญญาชนไทยและชนชั้นผู้ปกครองไทยสมัยรัชกาลที่ ๓-๔ ได้สร้างพิมพ์เขียว เพื่อโต้ตอบกับชาวตะวันตกที่มาท้าทายภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นการจับแพะชนแกะของคุณไมเคิล ไรท์ โดยไม่ได้ชี้แจงเนื้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ตอนใด ที่ชาวตะวันตกจะเข้าใจภูมิปัญญาไทยเลย

          ผมกลับไปอ่านศิลาจารึกหลักที่ ๑ และพยายามทำใจให้คล้อยตามความเห็นที่คุณไมเคิล ไรท์ เสนอมา อ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่เห็นด้วยกับคุณไมเคิล ไรท์ แม้แต่น้อย   จึงไปอ่านเอกสารชาวอังกฤษที่เข้ามาสมัยรัชกาลที่ ๓ และที่ ๔ สองเล่มดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ชนชั้นผู้ปกครองไทยในสมัยนั้นได้ปรับตัวและเรียนรู้วัฒนธรรมตะวันตกอย่างรวดเร็ว จนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลดังกล่าว

          ครับ     เราอาจจะคิดต่างกันได้ แต่ต้องมีหลักฐานสนับสนุนความคิดเหล่านั้น

 

         

อ่านหน้าที่ ๓ ......

  คัดลอกเนื้อหา จากบทความ "ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ไม่มีปัญญาชนผู้ใดปลอมได้" โดย ธวัช ปุณโณทก
จากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๔๓    

 
๑.เรือเอกหญิงลินจง สุวรรณโภคิน (แปล). ชีวิตความเป็นอยู่ในกรุงสยามในทัศนะของชาวต่างประเทศระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๓-๒๓๘๔. กรมศิลปากร ๒๕๒๕ หน้า ๔๑.
๒.เรื่องเดียวกัน. หน้า ๘๘.