นักวิจัยพบว่าช๊อกโกแลตดำเพียงวันละสองช้อนโต๊ะ หรือจะแปรรูปเป็นโกโก้ร้อน 1 แก้ว ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดได้พอๆ กับการกินยาแอสไพริน โครงการศึกษาผลจากยาแอสไพรินที่มีผลต่อเกร็ดเลือด โดยศาสตราจารย์ไดแอนน์ เบกเกอร์ ผู้นำการวิจัยของมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดให้กลุ่มตัวอย่างออกกำลังกาย งดบุหรี่ และอาหารบางอย่าง เช่น ไวน์ ชา กาแฟ และช๊อกโกแลตก่อนเข้ารับการทดลอง หลังจากนั้นนักวิจัยทำการเปรียบเทียบ ระยะเวลาที่เกล็ดเลือดจับตัวกันเป็นก้อน พบว่าเกล็ดเลือดของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่งดช๊อกโกแลต มีเกล็ดเลือดจับตัวกันช้ากว่า กลุ่มนักวิจัยจึงศึกษาเพิ่มเติมคุณสมบัติของเมล็ดโกโก้ และพบว่าในเมล็ดโกโก้มีสารเคมีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญที่มีผลทางชีวเคมีที่ออกฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพรินที่ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เส้นเลือด และหลอดเลือดอุดตันที่อาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด ก่อนหน้านี้ก็ได้มีรายงานการวิจัยที่ออกมาสนับสนุนประโยชน์ของช๊อกโกแลตอย่างต่อเนื่อง อาทิ พบว่าในช๊อกโกแลตมีสารเพนเทเมอร์ ที่ช่วยยับยั้งการลุกลามของเซลล์มะเร็งได้ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แม้ว่าสารเคมีที่อยู่ในเมล็ดโกโก้จะมีผลดีต่อการไหลเวียนของโลหิตได้ดี แต่หากว่าร่างกายได้รับไขมันและน้ำตาลที่มากเกินไป ก็อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจของคุณได้เช่นกัน ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 30 ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
Tag: สุขภาพ
นอกจากรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับการดูแลดวงตาของคุณให้สวยใสอยู่เสมอ แต่คุณต้องใส่ใจและถนอมดวงตาของคุณไว้ เพื่อให้อยู่กับคุณไปนานๆ โดยการใช้สายตาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้ อ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และถือหนังสือห่างจากดวงตา ประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรอ่านหนังสือเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ควรพักสายตาประมาณ 30-45 นาที เมื่อคุณรู้สึกปวดเมื่อยตา ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และควรนั่งห่างจากจอโทรทัศน์ ประมาณ 5 เท่าของขนาดโทรทัศน์ ไม่ควรจ้องมองพระอาทิตย์เป็นเวลานานๆ ควรสวมแว่นตาทุกครั้งที่ต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด หรือขับขี่รถยนตร์ หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ เวลาที่เศษผงเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ ควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา ไม่ควรกดนวดดวงตา หรือกรอกดวงตาไปมา แต่ควรหลับตาประมาณ 20 -30 นาที ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา ยาหยอดตา ร่วมกับผู้อื่น คุณควรปิดไฟนอน เพื่อเป็นการพักสายตา และยังช่วยประหยัดไฟได้อีกด้วย ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน คุณควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง ที่มา : คอลัมน์ Food For Health นิตยสาร ใกล้หมอ health well – being ปีที่ 30 ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม 2549 หน้า 102 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
คอลลาเจน คือ โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนังของร่างกาย ซึ่งสานกันเป็นเครือข่ายชั้นผิวหนัง และเป็นโปรตีนสำคัญต่อความแข็งแรง ของผนังหลอดเลือด และช่วยสร้างความตึงกระชับให้ผิว โดยจะทำงานร่วมกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อีลาสติน ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวของคอลลาเจน คือ อนุมูลอิสระที่เกิดจากมลพิษต่างๆ เช่น บุหรี่ แสงแดด สารปนเปื้อนในอาหาร และจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อขาดคอลลาเจน ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงจะเริ่มหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นของผิวลดลง การเติมคอลลาเจนให้กับผิวเพื่อหวังผลในการชะลอริ้วรอย ในวงการแพทย์สามารถทำได้ โดยการฉีดคอลลาเจนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนในเครื่องสำอางก็มีการนำคอลลาเจนไปผสม สังเกตได้จากฉลากที่ระบุส่วนผสมของ ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนไฮโดรไลซ์ อีลาสติน โปรคอลลาเจน เอเอชเอ นอกจากนั้นการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งจะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน และช่วยลดการเกิดมะเร็งในร่างกายอีกด้วย สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ก็ได้แก่ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี ซึ่งเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระมีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรง ของเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ ปีที่ 30 ฉบับที่ 12 เดือนธันวาคม 2549 รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ไม่มีมนตร์วิเศษใดๆ จะทำให้ทารกของคุณหลับหรือเลิกร้องไห้ได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยพบว่า เพลงกล่อมเด็กอาจช่วยได้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นซิดนีย์ พบว่า การบำบัดด้วยเสียงเพลงช่วยให้ทารกที่อยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยหนักมีการพัฒนาด้านพฤติกรรมที่เป็นปกติ ทารกที่ได้รับการบำบัดด้วยเสียงเพลงขณะอยู่ในโรงพยาบาลจะรักษาระดับของความรู้สึกรำคาญ และการร้องไห้ไว้เท่ากับระดับที่เคยเป็นเมื่อแรกเข้าโรงพยาบาล ส่วนทารกที่ไม่ได้ฟังเพลงจะอยู่โรงพยาบาลยากกว่าเมื่อผ่านไปนานวัน “ถ้าทารก หงุดหงิดน้อยลง และร้องไห้น้อยลง ก็อาจหมายความว่ากำลังจะหายป่วย และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น” ดร. สตีเฟน มาล็อก หัวหน้าคณะวิจัย กล่าว ให้ลองเปิดเพลงคุ้นหูซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับไกวตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกสบาย และผ่อนคลาย ทั้งจะเป็นการเพิ่มความผูกพันกับเด็กไปในขณะเดียวกันด้วย ที่มา : คอลัมน์ ครอบครัว นิตยสาร สรรสาระ Reader ‘s Digest ฉบับธันวาคม 2549 รวบรวมข้อมูลโดย : งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียว หรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะ ในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้าซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง อันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด “ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ” ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11 ที่มาภาพ : http://www.sxc.hu รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด