จากปู่ตาถึงป่าสงวนและวัด


ภาพประกอบ : http://202.29.22.173/php/information2/Kadsarin/


        ความลึกลับของความเชื่อ แม้ว่าความเชื่อจะเป็นสิ่งลึกลับ เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ให้เห็นจริงอย่างชัดแจ้งได้ด้วยเหตุผลก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจะปฏิเสธได้เช่นเดียวกันจนอาจจะกล่าวได้ว่า ความเชื่อเป็นสิ่งที่จะต้องมีเป็นปกติธรรมชาติของมนุษย์ทุกชนชาติ ในแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ความเชื่อจะเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ค่อยได้ มักจะถูกกล่าวหาอยู่เสมอว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล งมงาย ไร้ประโยชน์ ฯลฯ แต่ในทุกสังคมก็ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกผลักดันให้เกิดมีขึ้นด้วยความเชื่อต่างๆ กัน ซึ่งจะพบเห็นได้ในรูปของศิลปกรรมในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนพฤติกรรมของหมู่ชนในสังคมนั้นๆ และเมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวก็หาไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นบางอย่างอาจเป็นศูนย์รวมหรือโครงสร้างที่ยึดเหนี่ยวให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุขก็มีไม่น้อย ฉะนั้นถึงจะดูเป็นสิ่งที่ดุไร้เหตุผลหรืองมงายก็ตาม แต่ก็สามารถยังประโยชน์ให้เกิดมีขึ้นกับสังคมได้


ปู่ตา : สถาบันของสังคมหมู่บ้าน

       ปู่ตา เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูลและแต่ละหมู่บ้านที่จะต้องมีกันทุกหมู่บ้านในภาคอีสาน เป็นความเชื่อที่ชาวบ้านแต่ละแห่งเชื่อถือและยึดมั่นกันอย่างเหนียวแน่นมาแต่เดิม ชาวบ้านเชื่อมั่นกันจนกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้แล้ว ปู่ตายังเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้กับชาวบ้านที่นับถือในทางบวกได้อีกด้วย ด้านที่ยึดเหนี่ยวให้เกิดความหวังในชีวิต ด้านบนบาน (บ๋า) ให้ปู่ตาช่วยให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ขอลูก ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น

ที่อยู่ของปู่ตา

       เป็นธรรมดาที่ทุกหมู่บ้าน ที่มีปู่ตาคอยคุ้มครองผู้คนในหมู่บ้านนั้นๆ ชาวบ้านจะต้องสร้างที่อยู่ให้กับปู่ตา เรียกว่า ศาลปู่ตา ส่วนตัวสานนั้นบางทีชาวอีสานก็เรียกว่า ตูบ ลักษณะของตูบหรือศาลปู่ตานั้น จะมีลักษณะง่ายๆ สร้างด้วยไม้ที่พอจะหาได้ไม่ยากนักในท้องถิ่น ส่วนมากมักจะมีเสาต้นเดียวเหมือนศาลพระภูมิทั่วๆ ไป แต่ถ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นมาก็จะมักใช้เสา 4 ต้น ซึ่งเป็นขนาดที่นิยมสร้างกันมากที่สุดในภาคอีสาน ภายในตูบหรือศาลมักจะมีอยู่ห้องเดียวและจะมีรูปปั้นหรือสลักไม้เป็นรูปต่างๆ ตามแต่จะเชื่อถือกัน เช่น อาจจะเป็นรูปคนรูปสัตว์ต่างๆ เป็นต้น ด้านหน้าประตูจะมีชานยื่นหรือไม่มีก็ได้ แต่มักจะต้องมีบริเวณที่ว่างพอที่จะตั้งหรือวางเครื่องบูชาได้พอสมควรเสมอ


ป่าสงวน

       ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณศาลปู่ตา เป็นสมบัติของศาลปู่ตาที่ทุกคนมองไม่เห็นตัวตน แต่เขาก็เชื่อและไม่เข้าไปทำลาย จำทำให้ป่าไม้ในภาคอีสานหลงเหลืออยู่เป็นหย่อมๆ ทุกหมู่บ้าน ซึ่งช่วยทำให้ภาคอีสานยืดเวลาการเป็นทะเลทรายช้าไปอีกไม่น้อยเลย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างป่าสงวนของชาติได้เป็นอย่างดีอีกทางหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะศักดิ์สิทธิ์กว่าการสงวนป่าในปัจจุบันหลายเท่านัก

       เมื่อพิจารณากันให้กว้างขวางแล้ว จะเห็นว่าบริเวณศาลปู่ตา จะเป็นเสมือนป่าสงวนเล็กๆ ในหมู่บ้าน แต่ก็มีกันทุกหมู่บ้าน อยู่กันอย่างกระจัดกระจายทั่วๆ ไปไม่ห่างกันมากนัก เมื่อคิดรวมเนื้อที่กันแล้วอีสานก็มีป่าสงวนไม่น้อย ที่จะดุดซึมและรักษาความชื้นตลอดจนแหล่งน้ำ เพื่อใช้หล่อเลี้ยงชีวิตและสังคมของตนได้


เกิดสถาบันใหม่ในสังคม

       จากที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยป่าไม้ ไม่มีใครเข้าไปทำลาย จึงกลายเป็นสถานที่สงบเงียบที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน ในเวลาปกติชาวบ้านเองก็มักจะไม่ค่อยเข้าไปทำอะไรในบริเวณนั้นนอกจากจะมีกิจกรรมหรือพิธีกรรมเกี่ยวกับปู่ตาเท่านั้น จึงเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะน่ากลัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ยิ่งเงียบสงัดน่ากลัวยิ่งขึ้น จึงกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับวัตรปฏิบัติของพระที่ธุดงค์ผ่านไปมาในบางครั้งบางคราว ซึ่งก็นานๆ ครั้ง ด้วยเหตุนี้ บริเวณศาลปู่ตาของบางหมู่บ้านจึงเป็นสถานที่ปักกลดพักของพระธุดงค์ไปโดยปริยาย ซึ่งถ้ามีมาครั้งใด ชาวบ้านก็มักจะนำอาหารไปถวาย เพื่อทำบุญ ทำกุศลตามความเชื่อทางศาสนาเสมอ

       บางหมู่บ้านที่ยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน หรือมีอยู่แต่ก็ห่างไกล ก็อาจจะขอนิมนต์พระธุดงค์รูปนั้นๆ ให้อยู่จำพรรษา ณ ที่นั้นเลย ซึ่งก็สุดแล้วแต่จะเห็นดี เห็นชอบร่วมกันระหว่างพระธุดงค์กับกลุ่มชาวบ้านถ้าตกลงกันแล้ว ชาวบ้านก็จะพร้อมใจกันสร้างเสนาสนะ กุฏิเล็กๆ ถวายให้อยู่จำพรรษาต่อไป ด้วยความเชื่อ ความศรัทธา ตลอดจนการให้ลูกหลานได้บวชเรียนกันต่อไป ในลักษณะเช่นนี้ บริเวณศาลปู่ตานั้นๆ ก็จะกลายเป็นสำนักสงฆ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสถาบันใหม่ของสังคมอีสานอีกรูปแบบหนึ่ง




บรรณานุกรม


สมชาย นิลอาธิ. (2541). วิถีความคิด วิถีชาวนาอิสาน. มหาสารคาม : อาศรมวิจัยคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

ปราณี วงศ์ยะรา. (2545). ครกกระเดื่องและวัฒนธรรมตำข้าว(พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.

 

ภาพประกอบ : http://202.29.22.173/php/information2/Kadsarin/images/Picture%20311.jpg

<<< กลับด้านบน >>>