ระบอบการปกครองบ้านเมืองอันเป็นกติกาควบคุมสังคมสมัยเก่านั้น คนไทยทางภาคกลางหรือทางใต้ได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกมาก เพราะยึดถือหลักคัมภีร์พระมนู พระธรรมศาสตร์ ของชาวอินเดีย โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่มาจากทางด้านนี้มันจะโน้มไปทางจิตนิยม หรือเชื่อในสิ่งสมมติขึ้น เช่น นรกสวรรค์-สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไม่เคยเห็น

       ส่วนระบอบบการปกครองของชาวอีสานสมัยเก่านั้นยังมีอิทธิพลของความเชื่อดั้งเดิมตกทอดมาจากทางเหนืออยู่มากโดยเฉพาะอิทธิพลแบบจีนซึ่งมักจะโน้มไปทางวัตถุนิยม หรือเชื่อในสิ่งที่เคยเห็นคุณเห็นโทษมาแล้ว เช่น บิดา-มารดา-บรรพบุรุษ-วีรบุรุษ ผู้ที่ล่วงลับตายเป็นผีไปแล้ว (ไม่ใช่ผีหลอก)ได้รับการยกย่องเชิดชูบูชามากจนมีการเซ่นไหว้บวงสรวงกันหลายระดับ

 

      ถึงแม้คนไทยทางใต้ต่างกับทางอีสานแต่ก็เป็นศิษย์ชาวชมภูทวีปด้วยกัน แต่ลักษณะการปกครองของคนใต้นั้นค่อนไปในทางที่ใช้ประมวลกฎหมายคล้ายฝรั่งเศส เช่นมีการใช้กฎหมายตราสามดวง ซึ่งมีลักษณะเป็นประมวลกฎหมายเป็นหลัก ส่วนชาวอีสานนั้นยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้กฎหมายประมวล ข้อบังคับหรือกติกาของสังคมส่วนใหญ่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายแบบอังกฤษ เผ่าชนซึ่งอาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำโขงสมัยเก่าใช้ศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นเครื่องมือ หรือวิธีการปกครองบ้านเมืองมากกว่าเผ่าชนทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา

       การปกครองบ้านเมืองแต่ละยุคสมัยนั้นจะต้องวางวิธีการให้เหมาะสมกับสังคม แม้แต่การอบรมเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กุศโลบาย ซึ่งเป็นอุบายในทางที่ดี เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักขโมย การผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ก็ว่าเป็นบาปจะต้องตกนรกหมกไหม้ ทำให้คนมีส่วนกลัวไม่กล้าประพฤติ การทำความดีเช่นการทำงานเพื่อสังคมส่วนรวม การบริจาคทาน เสียสละ หรือช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจะได้บุญหรือได้ขึ้นสวรรค์เหล่านี้ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการสร้างกติกาหรือกรอบควบคุมความประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในสังคมขึ้นอีกมากมายในรูปต่างๆกัน อันได้แก่ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือข้อเว้นข้อห้ามนานาชนิด

 


ภาพประกอบ: http://2.bp.blogspot.com/

 

       ภายหลังต่อมาเมื่อสังคมมนุษย์เปลี่ยนไป ข้อสมมติหรือกุศโลบายต่างๆ เหล่านั้นไร้สมรรถภาพลง แต่ผู้ปกครองไม่ได้หาวิธีการเข้ามาแทนหรือชี้แจงแสดงเหตุผลให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจจึงก่อให้เกิดช่องว่างได้มาก เพราะของเดิมของเก่าเขาก็ไม่เชื่อแล้ว แต่เหตุผลทางด้านคุณและโทษตามหลักวิทยาศาสตร์เขาก็ยังเข้าไม่ถึง จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านกันมากเพราะไม่เคยทราบถึงความเป็นมาหรือเบื้องหลังของกุศโลบายทั้งหลายเหล่านั้นเลย

 

       คนอีสาน มีวัฒนธรรมประจำชาติและประจำท้องถิ่น มาแต่โบราณกาลแล้วนับศตวรรษ จนถือเป็นฮีตเป็นคองต้องปฏิบัติสืบกันมาจนเป็นประเพณีที่รู้จักกันดี และพูดจนติด ปากว่า "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่"




บรรณานุกรม


ปราณี วงศ์ยะรา. (2545). ครกกระเดื่องและวัฒนธรรมตำข้าว(พิมพ์ครั้งที่3). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช

สิริวัฒน์ คำวันสา. (2523). อิสานปริทัศน์. กรุงเทพฯ:กรุงสยามการพิมพ์.

ภาพประกอบ: http://2.bp.blogspot.com/_8V7BkiVBhsg/S7gOd6TIiKI/AAAAAAAAAUc/m3oL7nzS8Fg/s200/004.jpg
 

<<< กลับด้านบน >>>