> พระราชประวัติ 
 > พระราชบิดาแห่งอักษรไทย
 > พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล 
 > ธรรมะในศิลาจารึก 
 > ปกิณกะ 
    .... พระบรมสาทิสลักษณ์  
    .... มุมมองนักวิทยาศาสตร์ 
    .... ไม่มีผู้ใดปลอมได้ 
    ....    
 > สัตยาธิษฐาน 

 > บรรณานุกรม 
 > คณะผู้จัดทำ 

 > หน้าแรก 

 

จารึกพ่อขุนรามคำแหง "ไม่ปลอม" : จากมุมมองของนักวิทยาศาสตร์  (ต่อ..) 
 
          ขั้นต่อไป ได้นำตัวอย่างจากผิวของศิลาจารึกหลักที่ ๑ และหลักที่ ๔๕ (ชิ้นเดียวกันกับตัวอย่าง ที่นำไปตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน และวิเคราะห์ด้วย Energy Dispersive X-ray Fluorescence Spectrometer) มาตัดและฝนจนเป็นแผ่นหินบาง หนาประมาณ ๐.๐๓ ม.ม. แล้วตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบโพลาไรซ ์พบว่า ปริมาณของแคลไซต์ที่ผิวต่ำกว่าด้านที่อยู่ข้างในอย่างเห็นได้ชัด จนเห็นเป็นชั้นที่มีองค์ประกอบแตกต่างกัน ความหนาของชั้นที่มีปริมาณแคลไซต์ลดลงเฉลี่ย ประมาณ ๐.๒๕ ม.ม.
          เพื่อให้หมดข้อสงสัย คุณจิราภรณ์ได้สกัดส่วนหนึ่งของตัวอักษร (ส่วนหาง ล บนด้านที่ ๓ ของศิลาจารึกหลักที่ ๑ ) ซึ่งเป็นตัวที่ชำรุดมาแต่เดิม แล้วนำมาตัดและขัดจนเป็นแผ่นบาง แล้วตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์แบบโพลาไรซ์ เพื่อดูว่าผิวหินตรงร่องที่เกิดจากการจารึกตัวอักษรนั้น มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในลักษณะเดียวกันกับผิวส่วนอื่นๆ ที่ไม่มีตัวอักษรหรือไม่

          ผลปรากฏว่า ผิวของหินตรงร่องที่เกิดจากการจารึกตัวอักษรมีปริมาณแคลไซต์ลดลงมากใกล้เคียงกับผิวอื่นๆ ของศิลาจารึกหลักที่ ๑ จนสามารถมองเห็นเป็นชั้นที่มีความแตกต่าง ได้ชัดเจนแสดงว่าการจารึกตัวอักษรน่าจะกระทำในช่วงเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกับการสกัดก้อนหินออกมาเป็นแท่งแล้วขัดผิวให้เรียบ มิใช่เป็นการนำแท่งหินที่ขัดผิวไว้เรียบร้อยในสมัยสุโขทัย แล้วนำมาจารึกขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์

          "ความเป็นจริง" ที่ค้นพบดังกล่าวข้างต้น แสดงว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้ผ่านกระบวนการสึกกร่อนผุสลายมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี ใกล้เคียงกับศิลาจารึกหลักที่ ๓ หลักที่ ๔๕ และหลักที่กล่าวถึงชีผ้าขาวเพสสันดร

          ดูจะเป็นไปไม่ได้ที่ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ถูกทำขึ้นในสมัยรัชกาลที ๔ 

          แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะเป็นการยืนยันว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งในสมัยสุโขทัยก็ได้...

          คุณจิราภรณ์ทิ้งท้ายบทความไว้ว่า คงต้องเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์และนักภาษาโบราณ ที่ต้องวิเคราะห์ถกเถียงกันต่อไป 

*********

         

อ่านหน้าที่ ๑ ......


 
คัดลอกเนื้อหาส่วนใหญ่ จากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๓๓