> พระราชประวัติ 
 > พระราชบิดาแห่งอักษรไทย
 > พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล 
 > ธรรมะในศิลาจารึก 
 > ปกิณกะ 
    .... พระบรมสาทิสลักษณ์  
    .... มุมมองนักวิทยาศาสตร์ 
    .... ไม่มีผู้ใดปลอมได้ 
    ....    
 > สัตยาธิษฐาน 

 > บรรณานุกรม 
 > คณะผู้จัดทำ 

 > หน้าแรก 

 

ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ไม่มีปัญญาชนผู้ใดปลอมได้ (ตอนที่ ๕)
 

รูปสัณฐานของตัวอักษร 

          นักวิชาการเอาใจใส่ที่จะศึกษาเรื่องตัวอักษรกันน้อยไป ทุกคนมักจะเข้าใจกันว่า พ่อขุนรามคำแหงท่านนั่งเทียนเนรมิตลายสือไทยขึ้นมา เลยไปหลงใหลได้ปลื้มกับใจความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่า

          "...เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจแลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึงมีเพื่อพ่อขุนผู้นั้นใส่ไว้.."

          ข้อความตอนนี้ทำให้นักวิชาการทั่วไปเข้าใจว่า พ่อขุนรามคำแหงสร้างบ้านสร้างเมือง และสร้างอักษรไทยขึ้นมาโดยไม่มีพื้นฐานว่าปัญญาชนไทยได้มีหนังสือไทยมาก่อนแล้ว

          แต่ความจริงแล้วชนชาติไทยที่ตั้งชุมชนอยู่ในดินแดนประเทศไทยสมัยก่อนตั้งเมืองสุโขทัยนั้น มีอักษรของตนเองใช้แล้ว ตามที่ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ตั้งชื่อว่า "อักษรไทยเดิม"   โดยอธิบายว่า "เป็นอักษรที่ปรับเปลี่ยนมาจากอักษรมอญโบราณ ซึ่งใช้ร่วมกันในกลุ่มชาวไทยภาคเหนือ อักษรไทยเดิมนั้นชาวไทยภาคเหนือ เช่น ไทยใหญ่ ไทยล้านนา (ไทยโยนก) ไทยอาหม ก็ยังได้ใช้กันสืบต่อมา และได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาค่อยเป็นค่อยไป จนรูปสัณฐานของตัวอักษรต่างไปจากอักษรไทยเดิม

          ชาวไทยบริเวณลุ่มแม่น้ำยม (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย) คงใช้อักษรไทยเดิมอยู่ก่อน ภายหลังปัญญาชนไทยเริ่มศึกษาอักษรขอมโบราณที่ชุมชนบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (เมืองละโว้-อโยธยา) นำมาใช้เขียนภาษาไทย และมีการเขียนปะปนกับอักษรไทยเดิม เป็นสาเหตุให้อักษรไทยเดิมวิปลาสคลาดเคลื่อนไปมาก และแต่ละสำนักปัญญาชนก็เขียนหนังสือไทยไม่ตรงกัน

          พ่อขุนรามคำแหงจึงโปรดเกล้าฯ ให้ปัญญาชนไทยได้สังคายนาระบบการเขียนหนังสือไทยขึ้นมาใหม่ ที่ท่านเรียกว่า "ใส่ลายสือไทย"

          จะเห็นได้ว่า ลายสือไทย ได้พัฒนารูปสัณฐานจากอักษรต้นแบบคืออักษรมอญโบราณ และอักษรขอมโบราณ และใช้กันมาเนิ่นนาน จนสัณฐานตัวพยัญชนะไทยต่างไปจากอักษรต้นแบบมากขึ้นๆ ซึ่งในสมัยก่อนสุโขทัยนั้น ชาวไทยยังไม่มีศูนย์กลางอำนาจ จนกว่าจะถึงยุคสมัยสุโขทัย การเขียนหนังสือของปัญญาชนไทยยังอยู่ในลักษณะต่างสำนักต่างเขียน รูปสัณฐานของตัวอักษรไทยเดิมนั้นจึงสับสนไม่ค่อยจะลงรอยกัน

          ครั้นถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระองค์ท่านเป็นนักปราชญ์รู้ธรรมและสนใจอักษรศาสตร์ด้วย จึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการชำระการเขียนหนังสือไทยใหม่ ให้เป็นระบบเดียวกัน เรียกชื่อว่า ลายสือไทย 

          ฉะนั้นรูปสัณฐานของตัวอักษรลายสือไทย จึงมีลักษณะกลมมน ไม่มีศกจึงใกล้เคียงหรือเหมือนสกุลอักษรมอญ และไม่มีเชิง (อักษรมอญ และขอมมีเชิง)

          แต่กระนั้นก็ตาม สัณฐานตัวพยัญชนะทั้ง ๓๙ ตัวของลายสือไทย ก็ตรงกับพยัญชนะสมัยพระเจ้าลิไททุกตัว ซึ่งมีพยัญชนะ ๘ ตัว ที่มีรูปสัณฐานต่างจากพยัญชนะไทยสมัยรัชกาลที่ ๓ เกือบสิ้นเชิง และพยัญชนะทั้ง ๘ ตัวนี้ พัฒนาอยู่นานกว่าจะมีรูปสัณฐานเหมือนตัวพยัญชนะสมัยตันกรุงรัตนโกสินทร์ (ตารางที่ ๑)

 
ภาพแสดงตารางที่ ๑

          จากตารางที่ ๑ จะเห็นว่ารูปสัณฐานของพยัญชนะข้างต้นแตกต่างกับปัจจุบันมาก ฉะนั้นหากมีการปลอมแปลงศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ใครจะรู้ว่ารูปสัณฐานของพยัญชนะสมัยพญาลิไทมีรูปสัณฐานอย่างไร ทำไมจึงมีรูปตรงกับสมัยพระยาลิไทเหมือนจับวาง และมีสัณฐานไม่เหมือนอักษรไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนคิดไม่ได้ว่าปัญญาชนสมัยรัชกาลที่ ๓ จะรู้จักตัวพยัญชนะไทยสมัยสุโขทัยได้อย่างไร เพราะยังไม่ได้พบศิลาจารึกหลายหลักเหมือนในปัจจุบัน (จารึกพ่อขุนรามคำแหงค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖
โดยพระจอมเกล้าฯ ขณะที่ทรงผนวช)

  

         

อ่านหน้าที่ ๖ ......


 
คัดลอกเนื้อหา จากบทความ "ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ไม่มีปัญญาชนผู้ใดปลอมได้" โดย ธวัช ปุณโณทก
จากนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๔๓    
๖.ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์. ตำนานอักษรไทย.(โครงการพัฒนาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๐๔) หน้า๔๕.