ที่มาของสำนวนไทย “ควันหลง”
All Posts
สำนวนไทยคำว่า “ควันหลง” เป็นสำนวนที่ได้มาจากวงนักเลงสูบฝิ่นหรือกัญชา เพราะพวกนี้จะเข้าใจคำว่า “ควันหลง” เป็นอย่างดีที่สุด หมายความถึงควันที่หลงเหลืออยู่ในบ้องกัญชาหรือกล้องสูบฝิ่น ภายหลังที่สูบแล้ว คนที่ไม่เคยสูบเมื่อได้เห็นเข้าก็มักอยากลองสูบ หรือลองดูดดูว่าจะมีรสชาดเป็นฉันใด ครั้นดูดดูเล่นๆนึกว่าเป็นกล้องเปล่า แต่กลายเป็นอัดเอาควันหลงเข้าไปเต็มปอด เพราะยังเหลือค้างในกล้อง จะเกิดความมึนเมาขึ้นทันทีทันควัน ในทางสำนวนหมายถึงผู้ที่ไม่ได้เป็นตัวการ แต่พลอยถูกกระเส็นกระสายในเรื่องร้ายๆ ที่เขาก่อกันขึ้นไว้เป็นการใหญ่ แล้วพลอยถูกเกาะกุมตัวไปด้วยภายหลัง โดยสำนวนจึงหมายถึงว่าผู้นั้นโดนเอาควันหลงเข้าให้แล้ว ที่มา: หนังสือ ปัญหาสอบเชาวน์และความรู้รอบตัว โดย ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ที่มาขนมปาท่องโก๋ของคนไทย
All Posts
ประเทศจีนราวปี พ.ศ. 297 “ใจก๊วย” เป็นผู้สำเร็จราชการแทนเจ้าชิวั่งตี่ มีหน้าที่คอยเพ็ดทูลแนะนำสิ่งต่าง ๆ ถวาย ได้รับหนังสือลับจากกองทัพตาด ให้กราบทูลแนะนำกษัตริย์ให้ยอมแพ้แก่ตาดจะปูนบำเหน็จให้ ด้วยความโลภใจก๊วยจึงทำตาม กองทัพตาดจึงเข้าเมืองได้ เณรเทศพระเจ้าพระเจ้าชิวังตี่ออกนอกประเทศ แล้วแต่งตั้งใจก๊วยเป็นกษัตริย์ขูดรีดจากประชาชน กังฟู (ขุนพลของพระเจ้าชิวั่งตี่) จึงรวบรวมผู้คนยกทัพเข้าตีเมืองหลวงได้ ครั้นกังฟูสิ้นชีวิตลง ชาวจีนระลึกถึงคุณงามความดี พร้อมใจสร้างศาลเจ้าเพื่อสักการะบูชา พร้อมกับรูปปั้นใจก๊วยไว้หน้าประตูศาลเจ้า ทุกวันที่ชาวจีนไปสักการะในศาลเจ้าของกังฟู จะเขกศรีษะรูปปั้นใจก๊วยทุกคน นานเข้ารูปปั้นหดหายเหลือแค่คอ เพื่อลงโทษให้สาสมจึงได้คิดทำขนมใช้แป้งปั้นเป็นตัวใจก๊วยไม่มีคอ ทอดน้ำมันกำลังเดือด ขนมชื่อ “อิ้วใจก๊วย” (ใจก๊วยถูกทอดในน้ำมัน) เมื่อขนมชนิดนี้เข้าในสมัยรัชกาลที่ 6 ใหม่ ๆ มีซิ้มแก่ ๆ หาบขนมนี้มาขายพร้อมกับปาท่องโก๋ (มีลักษณะคล้ายซาลาเปา แต่มีงาโรยหน้า) ปากก็ร้องขายขนมปาท่องโก๋ คนไทยซื้อขนมอิ้วใจก๊วยมารับประทาน โดยคิดว่าชื่อปาท่องโก๋เลยเรียกขนมชนิดนี้ว่า “ปาท่องโก๋” ติดปากมาจนทุกวันนี้ ที่มา: หนังสือสารคดีทวีปัญญา โดย ประยงค์ อนันทวงศ์ รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ภาษาพูดของมนุษย์เริ่มต้นขึ้นอย่างไร
All Posts
ทุกวันนี้ การที่คนเราสามารถพูดจาติดต่อกันได้เข้าใจ ก็เพราะระบบเสียงต่างๆ ที่คนเผ่าพันธุ์เดียวกับเราสร้างเอาไว้ เพื่อบอกความหมายต่างๆ จากการค้นคว้าทำให้เรารู้ว่า มนุษย์เริ่มสื่อสารกันด้านภาษา ด้วยระบบเสียง ตั้งแต่เมื่อสมัย 100,000 ปีก่อนยุคพระเยซูโน่นแน่ะ คือเมื่อสมัยมนุษย์ นีอันเดอร์ทัลนั่นเริ่มต้น ก็เลียนเสียงสัตว์ต่างๆ ก่อน อย่างเสียงเห่าของสุนัข มาประกอบท่าทางชูไม้ชูมือ จนในที่สุดก็กลายเป็นภาษาใช้สื่อสารกัน แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีชนเผ่าหนึ่งในแอฟริกา ที่ใช้ภาษาที่เป็นเสียงคลิกแคลกในลำคอสื่อสารกัน ส่วนคนตุรกีก็มีคำที่ไม่ได้พูด แต่ใช้วิธีผิวปากออกมาเป็นความหมายเลย ที่มา: หนังสือเรื่อง ความรู้ทั่วไป เล่ม 2 โดย สุเมธ สง่าลี และน้องสร้าง จาก http://www.thaihp.com รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
เริ่มแรกการเชียร์ในเมืองไทย
All Posts
ศจ.นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ เล่าไว้ในหนังสืออวยนิมิต ซึ่งคณะศิษย์จัดรวบรวมพิมพ์ในวาระอายุครบหกสิบปีของท่านไว้ว่า หลวงวาจวิทยาวัฑฒน์ (วาด แย้มประยูร) ซึ่งเป็นผู้เริ่มการจัดตั้งคณะทันตแพทย์ศาสตร์ขึ้น และเป็นคณบดีคนแรก เป็นผู้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนำวิธีเชียร์แบบอเมริกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2475 โดยได้ฝึกซ้อมการเชียร์การแข่งขันกีฬาระหว่างคณะของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และแต่งเพลงเชียร์เพลงแรกให้คณะแพทย์ศาสตร์คือ ” เฮล – เฮล – เดอะ – แกงก์ส – ออลล์ – เฮียร์ – ว็อต – เดอะ – เฮ็ลล์ – ดู – วี – แคร์ – ว็อต – เดอะ – เฮ็ลล์ – ดู – วี – แคร์ – ร่ะ “ พร้อมกับสอนให้นิสิตร้องและออกท่าทางประกอบไปด้วย วันแข่งขันจริงท่านได้ทำหน้าที่เป็น “เชียร์ลีดเดอร์” คนแรกของเมืองไทยเอง การแข่งขันวันนั้นฝ่ายลูกศิษย์ของท่านคือคณะแพทย์ศาสตร์ชนะไปอย่างงดงาม และเพลงเชียร์ของท่านก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของคณะแพทย์ศาสตร์ (คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันเป็นคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล) มาจนทุกวันนี้ ระบบเชียร์กีฬาได้ค่อยๆ แพร่เข้าสู่คณะอื่นๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ต่อไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศ ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นจากการร้องเพลงเชียร์อย่างเดียวในตอนแรก ได้มีการแต่งตัวด้วยสีสันซึ่งแสดงหมู่คณะและสถาบัน การเดินขบวนพาเหรดในชุดต่างๆ รวมทั้งการเชียร์ด้วยการแปรอักษรบนอัฒจันทร์ด้วยแสงสีอันสวยงามและอื่นๆ ที่มา: หนังสือสารคดี ทวีปัญญา โดย ประยงค์ อนันทวงศ์ และ http://www.md.chula.ac.th รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
กำเนิดวันครู
All Posts
สืบเนื่องจากในปี พ.ศ. 2499 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ในสมัยนั้น ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศ ถึงความคิดที ่จะกำหนดให้มีวันครู ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับความคิดเห็นของครูโดยทั่วไป ดังนั้น ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 คณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติกำหนดให้ วันที่ 16 มกราคมของทุกปี เป็น “วันครู” โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 วันครู จัดให้มีขึ้นเป็นวันแรกในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 เราใช้วันที่ 16 มกราคมของทุกปี เป็นวันรำลึกถึงบุญคุณของคุณครู อาจารย์ ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้เรา โดยมักจะมีการจัดกิจกรรมดังนี้ คือ กิจกรรมทางศาสนา ทำบุญตักบาตรให้กับบูรพาจารย์ที่ล่วงลับ พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ การส่งบัตรอวยพร หรือการไปเยี่ยมเยียน เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวที นิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับครู การเรียนการสอน หรือบางทีก็เป็นกิจกรรม การกุศล หารายได้สมทบกองทุนช่วยเหลือครู เป็นต้น ? รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด