| สาระ.. ชา          
                    ใครๆ ก็ดื่มชา ผู้คนทุกมุมโลกที่แตกต่างกันด้วยเรื่องชาติ สีผิว  ขนบธรรมเนียมประเพณี ฐานะ
                    ต่างพากันสนใจดื่มชา เพราะชาไม่เป็นเพียงเครื่องดื่มที่ให้ความละเมียดละไม แต่เป็นศิลปะ   เป็นวัฒนธรรม
                    เป็นรสชาติของชีวิต          
                    "ชา"มาจากพืชตระกูลคาเมเลีย 
                    ไซเนนซิส (Camellia sinensis) 
                    ถิ่นกำเนิดอยู่ในจีนและอินเดีย มีลักษณะเป็นพุ่ม ใบเขียว หากปล่อยให้เติบโตเองในป่าจะให้ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมในฤดูใบไม้ผลิ
                    เมื่อดอกชาโตเต็มที่ จะให้ผลชาที่ภายในมีเมล็ดเล็กๆ หนึ่งถึงสามเมล็ด ในการแพร่พันธุ์
                    ต้นชาต้องได้รับการผสมละอองเกสรกับต้นชาต้นอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนยีนและโครโมโซมซึ่งกันและกัน
                    เมื่อชาต้นใหม่เจริญงอกงาม จะคงลักษณะที่แข็งแรงบางส่วนของพ่อแม่ ด้วยวิถีเช่นนี้
                    ต้นชาจึงเป็นพืชที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวของมันเอง          
                    ส่วนของต้นชาที่นำมาเป็นเครื่องดื่มจะอยู่ส่วนบนสุดของต้น อันเป็นตำแหน่งของการผลิใบอ่อน และการแตกหน่อ
                    ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณภาพดีที่สุดนั่นก็คือ ชาที่มีคุณภาพดีที่สุด คือ ชาที่ผลิตจากใบชาอ่อนและตานั่นเอง
                    และเครื่องมือในการเก็บใบชาที่ดีที่สุดก็คือ มือของมนุษย์ ซึ่งปฏิบัติต่อกันมาอย่างนี้เป็นเวลานับหลายพันปี          
                    การผลิตใบชา  เป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้จากประสบการณ์และความชำนาญที่สั่งสมผ่านกาลเวลา
                    ถ่ายทอดกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านปู่ถึงพ่อและลูกหลานเคล็ดลับของแต่ละตระกูล
                    ล้วนเป็นความลับของครอบครัวที่ไม่ถ่ายทอดข้ามสายเลือด ใบชาที่ผลิตออกมาแต่ละไร่จึงมีรสชาติและคุณภาพที่แตกต่างกัน
                    แต่ละขั้นตอนการผลิต เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมีส่วนร่วมในการทำงานหลายขั้นตอน
                    แต่เคล็ดลับที่ทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นอยู่ที่สองมื อและสมองของมนุษย์นี่เอง          
                   "ชา" เป็นผลผลิตที่มาจากพืชชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นชาจีน
                    ชาอินเดีย ชาศรีลังกา ชาญี่ปุ่น ชาอังกฤษ แต่กลับปรากฏว่าการชงชาที่แตกต่างกันในหลายวัฒนธรรม
                    ทำให้เกิดชารูปแบบต่างๆ กว่า 3,000 ชนิด
                    แตกต่างกันทั้งกรรมวิธีการผลิตใบชา การชงชาไปจนถึงการปรุงแต่งรสชาติของชา          
                    คนจีนรู้จักดื่มชามาหลายพันปีแล้ว มีตำนานเล่าว่า 
                    จักรพรรดิเสิน-หนง (Emperor Shen Nung)
                    วันหนึ่งขณะทรงต้มน้ำร้อนได้มีใบชาปลิวตกลงในหม้อน้ำเดือด ทรงชิมดูพบว่ามีรสชาติดีและมีกลิ่นหอม 
                    จากนั้นมาชาก็เป็นที่รู้จักและนิยมดื่มกันทั่วไป          
                    สมัยสุโขทัยช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน น่าจะมีการดื่มชากันแล้ว แต่ที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนคือจาก
                    จดหมายเหตุ          
                    ลาลูแบร์ราชฑูตฝรั่งเศส 
                    ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
                    พูดถึงการดื่มชาในสยามว่าดื่มเฉพาะในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น ถือเป็นมารยาทผู้ดีอันจำเป็นต้องนำน้ำชามาเลี้ยงผู้มาเยี่ยม
                    และคำว่า "ชา" คนไทยก็เรียกกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางแล้ว 
 
 ชาในประเทศไทย          
                    ชากลายเป็นเครื่องดื่มที่จำเป็นในสังคมไทย จากการสั่งใบชาเข้ามาบริโภคในประเทศก็ริเริ่มปลูกชาพันธุ์ดี
                    การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของไทยเริ่มอย่างจริงจังที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
                    เมื่อปีพ.ศ.2480 มีนายประสิทธิ์ และนายประธาน พุ่มชูศรี ตั้งบริษัทใบชาตราภูเขาจำกัด
                    นายพร เกี่ยวการค้า นำผู้เชี่ยวชาญชาวฮกเกี้ยนมาถ่ายทอดความรู้เรื่องชาแก่คนไทย รวมทั้ง ป๋าซุง
                    นายทหารกองพล 93 บ้านแม่สลอง ต่อมาสองพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี  ได้ขอสัมปทานทำสวนชา
                    จากกรมป่าไม้ในนามของ บริษัทชาระมิงค์ ภายหลังเอกชนเริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมชามากขึ้น
                    จึงมีการขายสัมปทานสวนชาแก่บริษัทชาสยามผู้นำใบชาสดมาผลิตชาฝรั่งในนาม "ชาลิปตัน"
                    จนกระทั่งปัจจุบัน 
                     ขึ้นด้านบน 
 ชากับความเป็นอยู่และประเพณี          
                    พระสงฆ์ฉันน้ำชามาแต่โบราณ จึงมีประเพณีถวายน้ำชาพระสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
                    มีหมายรับสั่งสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อมีพิธีสงฆ์ในงานหลวงปรากฏเป็นหลักฐานว่า
                    "ให้แต่งน้ำชาถวายสงฆ์ทั้ง 4 เวลา...ให้หัวป่าก์พ่อครัวรับ 
                    เครื่องชา ต่อวิเสทหมากพลู ต้มถวายพระสงฆ์ให้พอ 8 คืน"          
                    สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อมีทูตฝรั่งเข้ามา การต้อนรับของทางการไทยก็แข็งขันมาก นอกจากผลไม้พื้นเมืองแล้ว
                    ก็มีใบชา กาแฟไปต้อนรับทูต          
                    ชาเป็นเครื่องดื่มที่ชงไปนั่งคุยกันไป คนจีนเวลามีผู้มาหาสู่ถึงบ้านจะต้องยกน้ำชาออกมาต้อนรับ
                    ถ้าไม่รักกันจริงจะไม่ยกน้ำชามานั่งดื่ม เพราะจะได้คุยให้เสร็จๆ แล้วรีบออกไปจากบ้านซะ
                    คนไทยและจีนใส่ใบชาลงในโลงศพเพื่อใช้ประกอบพิธี   บ้างว่าช่วยการดูดกลิ่น บ้างว่าไม่ให้มีน้ำเหลืองไหลออกมา          
                    พิธีไหว้บรรพบุรุษของจีน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือน้ำชา และเหล้าเวลาทำความสะอาดหลุมศพ(เช็งเม้ง)
                    จะต้องไหว้น้ำชาทั้งที่สุสานและที่บ้าน วันสารทจีนก็ไหว้น้ำชา แม้พิธีแต่งงานชาวจีนพิธียกน้ำชาก็มีบทบาท
                    ใช้เคารพผู้ใหญ่ให้เมตตาคู่บ่าวสาว  เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์          
                    ญี่ปุ่นเองก็มีพิธีชงชาแบบชาโนยุ แต่เดิมเป็นพิธีทางศาสนาของนิกายเซน 
                    ปัจจุบันมีการฝึกหัดชงชาเพื่อรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น 
                     ขึ้นด้านบน 
 ร้านน้ำชา          
                    แหล่งกำเนิดความเป็นจีน  ร้านน้ำชาคือสถานที่ผู้คนทุกอาชีพ   ทุกชนชั้นทางสังคมแวะเวียนมาตั้งแต่ราชวงศ์หมิง
                    เพื่อพักดื่มน้ำชาสักถ้วยภายใต้ร่มเงาอันร่มรื่น คนคุ้นเคยหรือแปลกหน้าก็สามารถพูดคุย   ถกปัญหา
                    แลกเปลี่ยนข่าวสาร    ตลอดถึงการตกลงทางธุรกิจได้อีกด้วยร้านน้ำชายังเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมจีน
                    เช่นการแสดงงิ้ว การเล่านิทาน  การสนทนารูปแบบการเล่นตลก เป็นต้น ผู้สูงอายุ   บางคนจึงใช้เวลาอยู่ที่ร้านน้ำชาเกือบทั้งวัน
          
                    จากการพูดคุยพบปะกันที่ร้านน้ำชานี่เอง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในสังคมจีน เช่น การรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างจากชาติตะวันตก
                    หรือแม้แต่ความคิดเกี่ยวกับการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์และความคิดปฏิวัติที่มีผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
                    ก็มีแหล่งมาจากร้านน้ำชาเช่นกัน          
                    ก๊วนน้ำชาสวนลุมฯ
                    ผู้มารำมวยจีน มาออกกำลังกายยามเช้าที่สวนลุมพินี เสร็จแล้วก็มาล้อมวงชงชากันต่อ
                    มีการตั้งก๊วนชารวมกลุ่มกันนับได้เป็นสิบๆ ก๊วน ถือเป็นการพักเหนื่อยหลังออกกำลัง
                    มีการลงขันปันเงินกันซื้อชา อุปกรณ์ชา ค่าฝากของ ค่าเตาปิกนิกและอื่นๆ          
                    ทุกเช้ามักจะมีใครสักคนในก๊วนซื้อของกินมาร่วม เช่น  ปาท่องโก๋ หรือขนมเปี๊ยะ สมาชิกมีทั้งหญิงและชายจากนานาอาชีพ 
                    ตั้งแต่นักธุรกิจเจ้าของโรงงานใหญ่จนถึงซิ้มขายเฉาก๊วย และแป๊ะมีขวดมาขาย
                    เรื่องที่คุยกันก็มีสารพันสรรมาเล่าสู่ ท่ามกลางความสดชื่นของอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า
                    จิบชาร้อนๆ สนทนาเรื่องน่าสนใจหรือนิทานขำขันเฮฮา จนเพลงชาติขึ้นแต่ละก๊วนจึงสลายตัว
                    พาเอาความกระฉับกระเฉงที่เติมใส่ จนเต็มแล้วแยกย้ายกันไปนอกจากนี้
                      แถบย่านชุมชนจีนก็มีก๊วนน้ำชาที่เยาวราช และสำเพ็งอีกหลายแห่ง
 
                     ขึ้นด้านบน 
 โรงน้ำชาและหญิงโสเภณี          
                    ประเทศไทยหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2
                    ยุคที่โรงยาฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย โรงน้ำชาย่านเยาวราช
                    สำเพ็งก็ถึงยุคเฟื่องฟู ผู้หญิงและน้ำชากลายเป็นยอดปรารถนาของชายสมัยนั้นศักดิ์ เสาวรัตน์ บรรยายในบทความเรื่องจิบน้ำชา - เริงนารี
 ย่ำบางกอกนครโสเภณี ตอนหนึ่งไว้ดังนี้
 เพียงก้าวแรกที่เหยี่ยบย่างเข้าไป ลูกจ้างร้านขายของชำก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็น
                    'คนสำคัญ' ของที่นั่น เมื่อ 'โก'
                    เจ้าของร้านเชื้อชาติเดียวกันออกมาต้อนรับขับสู้ให้พักผ่อนในห้องเล็กๆ ที่ประกอบด้วยเตียงนอน
                    ม้านั่ง และม่านบังตาสีสันสวยงาม บริกรท่าทางนอบน้อม ยกกาน้ำชาพร้อมจอกกระเบื้องและชาจีนห่อเล็กๆ
                    ถาดขนมขบเคี้ยว…ไม่นานนักหญิงสาวชาวจีนรุ่นกำดัดก็จะมารับหน้าที่ต้อนรับขับสู้ และอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงาและคลายเครียด
                    เธอเหล่านั้นมักจะใส่ชุดกี่เพ้าแบบจีน  ผัดแป้งทาหน้าขาวนวล แต่ออกจะเย้ายวนอารมณ์กำดัดของชายหนุ่นยิ่งนัก
                    (ศักดิ์ เสาวรัตน์. 2545 : 98)
 โรงน้ำชาที่ซบเซาไปจากถนนโลกีย์ในอดีต   กลับไปผุดอยู่ทั่วไปย่านพระโขนง
                    ลำสาลี สะพานควาย และไกลออกไปถึงรังสิต
 
                     ขึ้นด้านบน 
 สงครามและใบชา 
                        
                            |  | ชาเดินทางจากจีนสู่ยุโรปครั้งแรกที่ฮอลแลนด์
                                ประมาณปี ค.ศ.1606
                                โดยเรือของบริษัทดัทช์อีสต์อินเดียของฮอลแลนด์
                                ในยุคนั้นใบชาเป็นของแพงและเป็นเครื่องดื่มเฉพาะในราชสำนักและชนชั้นสูง 
 ค.ศ.1652 ชาเข้าสู่อังกฤษ ได้รับความนิยมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ตลาดชาผูกขาดโดยบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษ
                                ท่ามกลางความต้องการสูงแต่จีนกลับขายชาคุณภาพต่ำให้อังกฤษ และกระทำผ่านตัวแทนจักรพรรดิ์จีน
                                จะแลกเปลี่ยนใบชากับเงินเท่านั้น อังกฤษจึงนำฝิ่นมาขายในจีน
                                เพื่อแปรเป็นเงินซื้อใบชากลับไป
 |  
                    แต่กลับสร้างปัญหารุนแรงจนกระทั่งกลายเป็นสงครามฝิ่นระหว่างอังกฤษจีน
                    (ค.ศ.1839-1842) จีนเสียเปรียบเรื่องอาวุธและเรือรบจึงพ่ายแพ้ ต้องยอมให้เกาะฮ่องกงตกเป็นเมืองเช่าในปกครองอังกฤษ
                    นานถึง 156 ปี จึงกลับมาเป็นของจีนอีก เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1997
                     
                        
                            |  | การเดินทางของชายังแผ่ขยายไปเรื่อยๆ วัฒนธรรมการดื่มชาของชาวอังกฤษยังติดตัวไป
                                เมื่อครั้งอพยพไปแสวงหาดินแดนโลกใหม่คือทวีปอเมริกา รัฐสภาอังกฤษเก็บภาษีใบชาคนอเมริกันสูงมาก
                                (ขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ) ก่อเกิดความไม่พอใจและต่อต้าน ขนหีบชาทิ้งทะเล
                                อันเป็นที่มาของชื่อ Boston tea Party สงครามครั้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นเอกราชไม่ขึ้นกับอังกฤษอีกต่อไป |  
                     ขึ้นด้านบน 
 คนอังกฤษกับน้ำชา 
         
                    คนอังกฤษชอบดื่มชาวันละหลายเวลา
                    สำหรับการดื่มชาบ่าย (afternoon   tea  ยุคนั้นไม่ได้ดื่มตอนบ่าย แต่ดื่มตอนค่ำก่อนดึก)
                    เริ่มขึ้นปี ค.ศ. 1825 โดยดัชเชส แห่งเบดฟอร์ด (Duchess of Bedford)
                    ในการดื่มชานั้นมีขนมหลายชนิดให้เลือก โดยเฉพาะขนมเค้กชนิดต่างๆ
                    ช่วงเวลาตอนบ่ายจึงถือเป็นธรรมเนียมการดื่มชามีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส  ลอร์ดเนลสัน (Lord Nelson) และดยุคแห่งเวลลิงตัน
                    (Duke of Wellington) ที่ต้องออกสนามรบกับพระเจ้านโปเลียน ก็มักจะสอบถามอยู่เสมอเกี่ยวกับเสบียงชา
                    สำหรับดยุคนั้นมีถ้วยชาทำด้วยโลหะเงินและพกติดตัวไปด้วยเสมอ
 การทำน้ำชาดื่ม คนอังกฤษถนัดต่างกับคนทั่วไป
                    คือคนทั่วไปมักจะรินน้ำชาลงถ้วยก่อนแล้วเติมนมหรือครีมและน้ำตาล 
                    แต่คนอังกฤษจะใส่ครีมหรือนมลงไปก่อน
                    เติมน้ำตาล  แล้วจึงรินน้ำชาร้อนๆ ลงไปเป็นอันดับสุดท้าย เพราะฉะนั้นเห็นใครทำน้ำชาดื่มแบบนี้ลองถาม
                    "มาจากอังกฤษหรือคะ"
                    มักจะได้รับคำตอบ "Yes"
                    พร้อมความแปลกใจ "ทำไม you รู้ล่ะ"
 
                     ขึ้นด้านบน 
 บรรณานุกรม
                        
 จิตรา ก่อนันทเกียรติ. 2536. ความรู้เรื่องจีน จากผู้เฒ่า. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า.
 ชา. 2540. พลอยแกมเพชร. 6, 131(15 กรกฎาคม 2540) :144 - 145.
 ชา : การปลูกและการพัฒนาผลิตภัณฑ์. 2545. ศิลปวัฒนธรรม.15,11(กันยายน 2545): 89 - 94.
 ซิสึกะ (นามแฝง). 2545. ชาเขียว วิถีแห่งคุณประโยชน์ของสมุนไพร. New Life. 23,75 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2545): 26 - 28.
 เดชา ศิริภัทร. 2536. ชา: เครื่องดื่มจากรากเหง้าวัฒนธรรมตะวันออก. หมอชาวบ้าน.14,168 (เมษายน 2536): 41-43.
 ร้านน้ำชาคืออะไร?. <http://www.203.144.248.21/hwwmds/detail.nsp.html>. November 2002.
 ศักดิ์ เสาวรัตน์. 2545. จิบน้ำชา - เริงนารี ย่ำบางกอก นครโสเภณี. ศิลปวัฒนธรรม.15,11 (กันยายน 2545): 96 -101.
 ส. พลายน้อย (นามแฝง). 2544. รู้ร้อยแปด. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สารคดี.
 สุรีย์ ภูมิภมร. 2545. ชา : เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก. ศิลปวัฒนธรรม.15,11 (กันยายน 2545):77 -88.
 อ๋อง(นามแฝง). 2545. ระบำชา. กรุงเทพฯ: ศรีสารา.
 รวบรวมข้อมูลโดย : ฝ่ายวารสารและเอกสาร
 |