ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
ชา (C. sinensis) ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ
ในสภาพป่าบนภูเขาในระดับต่ำบนพื้นแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย
นับจากแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ในแถบมณฑลเสฉวน จรดพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย(อัสสัม)
โดยแหล่งกำเนิดดั้งเดิมน่าจะอยู่ในแถบต้นแม่น้ำอิระวดีทางตอนเหนือของพม่า
จากความสนใจในการนำมาใช้ประโยชน์ของมนุษย์ในระยะต้นๆ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของชาออกไปอย่างกว้างขวางในเอเชีย
ชาวจีนรู้จักต้นชามานานกว่า
4,000 ปี
มีบันทึกย้อนหลังไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 AD
เกี่ยวกับการปลูกชาอย่างกว้างขวาง และการใช้ประโยชน์
เป็นเครื่องดื่มให้ความสดชื่นในหลายมณฑลของจีน
การปลูกชาในญี่ปุ่นเริ่มต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยมีการนำเมล็ดมาจากจีน ชา กลายเป็นสินค้าออกสำคัญ
ของจีน โดยครั้งแรกเป็นการส่งออกโดยชาวมงโกลผ่านทางเส้นทางการค้าทางบก
ในแถบตอนกลางของเอเชียไปยังตรุกีและรัสเชีย
(ส่วนใหญ่เป็น brick tea)
และไปยังยุโรปในตอนต้นของคริสต์วรรษที่
17
ทางทะเลผ่านทางบริษัท
Dutch&English East India Company (ชาเขียวและชาดำในระยะต่อมา)
เป็นระยะเวลานานต่อเนื่องกันถึง
300 ปี
ที่มีการส่งออกชาจากจีนเพียงประเภทเดียว
(100,000 ตันในปี ค.ศ. 1850)
การผูกขาดการส่งออกชาจากจีนเริ่มลดลงหลังจากมีการปลูกในอินเดีย(ค.ศ.
1840) ศรีลังการ (ค.ศ. 1870)
และอินโดเนียเชีย(ค.ศ.
1880) ในปี ค.ศ. 1925
มีการนำเข้าชาสู่ยุโรปประมาณ
300,000 ตัน
โดยมีการส่งออกเพียงส่วนน้อยจากจีนทั้งนี้การส่งออกชาจากจีนเริ่มกระเตื้องขึ้นในทศวรรษ
1960
ชาที่ปลูกในจีนและญี่ปุ่นทั้งหมดเป็น
C.sinensis var. sinensis ('China tea')
ซึ่งมีใบขนาดเล็กกว่าและทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี
ีแต่เจริญเติบโต
ช้าเมื่อเปรียบเทียบกับชาอัสสัม
(C.sinensis var. assamica (Mast.) Kitamura('Assamtea')
ซึ่งพบขึ้นอยู่ในป่า
ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
ในปี ค.ศ. 1823 ชาอัสสัม
และในระยะต่อมาเป็นลูกผสม('Indian
hybrid tea')
ระหว่างชาทั้งสองชนิดข้างต้น
เป็นสายพันธุ์ชาที่มีการปลูก
เป็นการค้าในแถบตอนใต้
ตะวันออกเฉียงเหนือและในแถบตะวันตกของทวีปเอเชีย
รวมทั้งที่มีการปลูกในแอฟในแอฟริการใต
้และอเมริกาใต้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แหล่งเพาะปลูกสำคัญ
ได้แก่ อินโดเนียเชีย
เวียดนาม ปาปัวนิวกินี
มาเลเชีย |