|
ของดีจังหวัดสมุทรปราการ |
เทศกาล และงานประเพณี
|
สัญลักษณ์จังหวัดสมุทรปราการ
ที่มา : http://www.paknam.com/
ป้อมยุทธนาวี พระเจดีย์กลางน้ำ ฟาร์มจระเข้ใหญ่ งามวิไลเมืองโบราณ
สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิดแห้งรสดี ประเพณีรับบัว
ครบถ้วนทั่วอุตสาหกรรม งามล้ำโพทะเล |
สมุทรปราการ
หรือเมืองปากน้ำ
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
เมืองพระประแดง มีพื้นที่ประมาณ 1,004 ตารางกิโลเมตร
ห่างจากกรุงเทพฯ
ประมาณ 29 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณปากอ่าวไทย
ดังนั้น
จึงเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลที่สำคัญมาทุกยุคทุกสมัย ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มไม่มีภูเขา มีลำคลองหลายสาย ในฤดูแล้งน้ำจะเค็มจัด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่นาและสวน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ (ปัจจุบัน คือ อำเภอพระประแดง) เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านป้องกันข้าศึกที่จะรุกเข้ากรุงเทพฯ จากทางอ่าวไทย
มีการสร้างป้อมปราการ
หรือป้อมยุทธนาวีขึ้นภายในเมืองหลายป้อม
ป้อมแรก คือ
ป้อมวิทยาคม และทยอยสร้างต่อเนื่องมาอีก จำนวนรวมทั้งสิ้น 24 ป้อม
จนกระทั่งในยุคล่าอาณานิคม มีกรณีพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้าขึ้นที่ปากน้ำบริเวณอำเภอพระสมุทรเจดีย์ในปัจจุบัน เป็นป้อมที่ทันสมัย มั่นคงแข็งแรง พร้อมกันนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะจากเมืองขึ้นเป็นจังหวัด เมืองนครเขื่อนขันธ์จึงเปลี่ยนเป็นจังหวัดพระประแดง ก่อนจะถูกลดฐานะเป็นอำเภอพระประแดง อำเภอหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
แหล่งท่องเที่ยว :
วัดบางพลีใหญ่ใน - ตั้งอยู่ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ เดิมชื่อวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม
สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยามาถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2112 และ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกอบกู้อิสรภาพสู่ความเป็นไทยอีกครั้งหนึ่ง จนอาณาเขตของประเทศ (สยาม) ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวาง

วัดบางพลีใหญ่ใน
ที่มา : http://www.prakan2.com/service/index.php/2010-04-14-00-53-15
ส่วนชื่อตำบลบางพลีนั้นเนื่องมาจากสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกระทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงตามตำรับพิชัยสงครามเมื่อชนะสงคราม วัดพลับพลาชัยชนะสงครามเป็นวัดที่อยู่ด้านใน และมีวัดบางพลีใหญ่กลางอยู่ด้านนอก
ดังนั้น จึงเรียกวัดพลับพลาชัยชนะสงครามว่า วัดบางพลีใหญ่ใน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) องค์พระเป็นทองสัมฤทธิ์ ทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1
คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระประธานในโบสถ์เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไป วัดนี้จึงมีอีกชื่อว่า
"วัดหลวงพ่อโต"
ประวัติหลวงพ่อโต
ตามตำนานได้เล่าสืบต่อกันมาว่า มีพระพุทธรูปสมัยล้านช้าง 3 องค์ ประกอบด้วย หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ปางอุ้มบาตร เป็นองค์พี่ หลวงพ่อโสธร ปางสมาธิ เป็นองค์กลาง และหลวงพ่อโต ปางสมาธิ เป็นองค์ใหญ่ที่สุดแต่เป็นองค์น้องสุดท้อง พระพุทธรูปทั้งสามได้แสดงปาฏิหาริย์โดยการลอยน้ำมาจากทางเหนือ
ล่องมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงตำบลหนึ่งก็แสดงองค์ให้ประชาชนเห็น ประชาชนมีความศรัทธาจึงอาราธนาพระพุทธรูปทั้งสามขึ้นจากน้ำ ด้วยการพร้อมใจกันฉุด
แต่ฉุดเท่าไรก็ไม่ขึ้นจนต้องเกณฑ์คนมาช่วยกันฉุดถึงสามแสนคน พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ก็ไม่ยอมขึ้นจากน้ำ ต่อมาตำบลนี้จึงได้ชื่อว่า ตำบลสามแสน แล้วกลายมาเป็นสามเสนในปัจจุบัน จนในที่สุดองค์พี่ คือ
หลวงพ่อบ้านแหลมลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง แล้วขึ้นประดิษฐานที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม องค์กลาง คือ หลวงพ่อโสธรกลับลอยทวนน้ำไปถึงวัดเสาทอน ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วขึ้นประดิษฐานที่วัดนี้ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโสธรวรารามวรวิหาร ส่วนองค์สุดท้อง คือ หลวงพ่อโตได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา และปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรง ประชาชนจึงพร้อมกันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรง แต่ท่านก็ไม่ยอมขึ้น จึงได้ทำพิธีเสี่ยงทาย ต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน
แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยตามลำน้ำสำโรง
และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด"
จนแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือวัดบางพลีใหญ่ใน ท่านจึงหยุดนิ่ง ชาวบ้านจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานนำท่านขึ้นจากน้ำได้ในที่สุด และต่อมาได้สร้างพระอุโบสถสำหรับเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตมาจนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อโต
ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16695
นอกจากนี้ติดกับวัดบางพลีใหญ่ในยังมีตลาดริมน้ำโบราณมีอายุยาวนานกว่า 140 ปี เป็นตลาดขายของและร้านอาหารริมน้ำที่มีมานาน ยังเป็นตลาดน้ำที่มีชีวิต โดยการดำเนินชีวิตจริงยังคงเหมือนเช่นอดีต
คือ
มีความเกื้อหนุนจุนเจือกันแบบสังคมไทยยุคก่อนๆ มีประเพณีวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านที่ยังช่วยกันรักษา ในตลาดยังมีสินค้าดั่งเดิมขาย ได้แก่ กระต่ายขูดมะพร้าว ใต้จุดไฟที่ทำจากน้ำมันดินห่อด้วยเปลือกไม้ สำหรับเป็นเชื้อไฟในการจุดเตาถ่าน หรือสบู่กรดใช้สำหรับซักผ้าให้ขาว หมากพลู และของกินกับหมาก ที่คุณยาย คุณย่า ยังนั่งเคี้ยวหมากให้เห็นพร้อมกับขายของพวกนี้ไปด้วย หรือเดินผ่านร้านขายยาก็จะเห็นตู้ยาเต็มไปด้วยยาไทยล้วนๆ พวกยาธาตุ ยาขับลม ยาหม่อง ยาดม สารพัดอย่างวางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจก ทำให้รู้ว่ายาไทยที่ทำเป็นอุตสาหกรรมนั้นมีมานานแล้ว และมีมากมายหลายชนิดบางอย่างก็ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
หรือช้างสามเศียรสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของคุณเล็ก วิริยะพันธ์ เพื่อให้เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุมรดกทางวัฒนธรรม และเพื่อสืบสานอนุรักษ์งานศิลป์ไทย
ช้างสามเศียรเป็นประติมากรรมลอยตัวขนาดยักษ์
สูงเด่นเป็นสง่าด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทำจากโลหะทองแดงแผ่นเล็กสุดขนาดเท่าฝ่ามือ
นำมาเรียงต่อกันด้วยความประณีตนับแสนชิ้น ตัวช้างรวมอาคารมีความสูง 43.60 เมตร หรือมีความสูงเทียบเท่าตึก18 ชั้น อาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนบนของตัวช้างออกแบบให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุมีค่า
ได้แก่ ภาพวาดสีฝุ่นรูปจักรวาล
พระพุทธรูปปางลีลา บริเวณท้องช้างปูด้วยไม้มะเกลือสีออกดำ
และส่วนล่างของตัวช้างเป็นฐานโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
ภายในอาคารทรงโดมตกแต่งด้วยงานศิลปะหลากหลายรูปแบบทั้งศิลปะตะวันตก และตะวันออก (ไทย) เช่น งานปูนปั้นเบญจรงค์ฝีมือช่างเมืองเพชรบุรี เพดานอาคารเป็นกระจกสีฝีมือศิลปินชาวเยอรมัน แสดงเรื่องราวแผนที่โลกโบราณล้อมรอบด้วยจักรราศี ส่วนชั้นใต้ดินที่เรียกว่า
"ชั้นบาดาล" เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการและโบราณวัตถุจำนวนมาก อาทิ พระพุทธรูป เทวรูปสมัยต่างๆ และเครื่องลายครามของจีน ฯลฯ
ช้างสามเศียรมีลักษณะเด่นอีกอย่าง
คือ ที่ตัวผิวของช้างและเครื่องทรงของช้างทำด้วยแผ่น ทองแดงบริสุทธิ์ เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆ ปี จะเกิดสนิมเขียวจับทำให้ผิวช้างมีลวดลายขึ้นมา และข้อสำคัญทองแดงเป็นวัสดุที่คงทนอยู่ได้นาน รอบๆ
ตัวอาคารช้างสามเศียรเป็นอุทยานขนาดใหญ่ มีน้ำตก ลำคลอง และพรรณไม้ในวรรณคดี
พันธุ์ไม้หายากจากทุกภูมิภาคของประเทศ
นอกจากนี้ยังมีงานประติมากรรมลอยตัวเรื่องรามเกียรติ์วางเรียงรายล้อมรอบอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
และมีรูปจำลองของช้างเอราวัณไว้ให้สักการบูชาเพื่อเป็นศิริมงคลของชีวิตอีกด้วย
เมืองโบราณ
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเปรียบเสมือนเป็นบานประตูที่เผยออก ให้เห็นถึงมรดกแห่งภูมิปัญญาไทยบนพื้นที่ 800 ไร่ ในเขตตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ ลักษณะที่ดินมีผังบริเวณคล้ายรูปขวานเหมือนกับอาณาเขตของประเทศไทย โดยรวบรวมวัฒนธรรม โบราณสถาน ปูชนียสถาน
วัดโบราณ
และพระราชวังต่างๆ ของทุกภูมิภาค ปลูกสร้างให้มีขนาดเล็กลงหรือบางแห่งมีขนาดเท่ากับของจริง การสร้างฝีมือประณีตผสมผสานกับงานวิจิตรศิลป์และประณีตศิลป์ การจัดวางโครงสร้างและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่สอดคล้องและสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่นับวันจะสูญหายไปจากสังคมยุคใหม่
ซึ่งผู้มาเยือนจะได้รับความรู้
และเข้าใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปะ และขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบันได้จากเมืองโบราณแห่งนี้ภายในหนึ่งวัน
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
ถือได้ว่าเป็นหัวใจของเมืองโบราณ
เพราะ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันได้เคยทรงใช้พระที่นั่งแห่งนี้ รับรองสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 และพระสวามีในคราวที่เสด็จเยือนประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2515 และเมืองโบราณได้ถือเอาวันนี้เป็นวันเปิดเมืองโบราณอย่างเป็นทางการ
ฟาร์มจระเข้
ตั้งอยู่ในเขตตำบลท้ายบ้าน ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร มีเนื้อที่ราว 400 ไร่
ภายในเป็นสถานที่เพาะพันธุ์จระเข้ทุกสายพันธุ์ที่ใหญ่
และทันสมัยที่สุดแห่งแรกของโลก
ปัจจุบันมีจระเข้จำนวนเกือบถึง 80,000 ตัว
ขนาดความยาวตั้งแต่ไม่เกินหนึ่งฟุต จนถึง 6 เมตร
และในจำนวนนี้มีจระเข้พันธุ์ผสมระหว่างจระเข้น้ำจืด
และน้ำเค็มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
มีชื่อว่า "เจ้าใหญ่"
โดย ได้การรับรองจาก กินเนสบุ๊ค ออฟ เรคคอร์ด
ว่าเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยขนาดความยาวเกือบ 6 เมตร น้ำหนักตัว
1,114.2 กิโลกรัม ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 35 ปี ภายในฟาร์มจระเข้ยังมีสวนสัตว์ที่ประกอบไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดเกือบทั่วโลกให้ชมและศึกษาอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งสามารถถ่ายรูปกับสัตว์ต่างๆ
ได้ มีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ให้ย้อนอดีตศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ และบรรยากาศในยุคดึกดำบรรพ์จากซากฟอสซิลและโครงกระดูก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย ได้แก่ สนามยิงปืน
จักยานน้ำ การแสดงดนตรี
และที่พลาดไม่ได้คงต้องเป็นการแสดงจระเข้ที่แสนจะตื่นเต้นตกใจ
และหวาดเสียว
นอกจากนั้นยัง
สามารถเดินผ่อนคลายเลือกซื้อของฝากของที่ระลึก
และผลิตภัณฑ์จากหนังจระเข้ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบพร้อมทั้งมีใบรับรองคุณภาพที่เชื่อถือได้
หรือผู้ที่ชอบเปิบพิสดารก็มีบริการร้านอาหารเนื้อจระเข้ไว้ให้ลิ้มลองรสชาติ
ของฝากประจำจังหวัด :
ปลาสลิดบางบ่อ
ปลาสลิดแห้งของอำเภอบางบ่อ เป็นของดีมีชื่อของจังหวัดสมุทรปราการ ทำรายได้ให้แก่ชาวบางบ่อเป็นจำนวนไม่น้อย เดิมชาวบ้านแถบอำเภอบางบ่อมีอาชีพทำนาข้าว ต่อมามีโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้นและรุกพื้นที่นา
ประกอบกับน้ำทะเลหนุนสูง
น้ำจืดที่ใช้ในการทำนาจึงกลายเป็นน้ำกร่อย ส่งผลให้ได้ผลผลิตข้าวไม่ดี ชาวบ้านจึงหันมาขุดบ่อเลี้ยงปลาสลิด ใช้น้ำกร่อยเลี้ยงปลา โดยน้ำกร่อยเป็นแหล่งไรแดงซึ่งเป็นอาหารชั้นยอดของปลาสลิด
ดังนั้น
ปลาสลิดจึงมีความสมบูรณ์ เมื่อชาวบ้านนำมาแปรรูปโดยการหมักเกลือแล้วตากแดดจึงได้ปลาสลิดแห้งเนื้อนุ่มเหนียวอร่อย สามารถหาซื้อได้ตามแผงริม ถนนบางนา- ตราด ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่ กม.
33 เรื่อยมาจนถึง กม. 27 นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายตามตลาดทั่วไป
ขนมจาก
เดิมเป็นของฝากขึ้นชื่อมีขายอยู่ทุกแห่งในปากน้ำ แม้เป็นเพียงขนมที่มีราคาเพียงบาท สองบาท โดยเฉพาะ
"ขนมจาก"
ของร้านลิ้มดำรงค์ที่ดำเนินการสืบทอดกันมาเป็นเวลากว่า
100 ปี ที่ถนนศรีสมุทร เยื้องทางเข้าท่าเรือข้ามฟากไปพระสมุทรเจดีย์ ซึ่งในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงร้านเดียวในจังหวัด แต่ก่อนถึงกับมีคนพูดกันเล่นๆ ว่า
"มาปากน้ำถ้าไม่ได้ซื้อขนมจาก ถือว่ายังมาไม่ถึง" จากประโยคข้างต้นกลับสามารถพิสูจน์ความโด่งดังของขนมจากเมืองปากน้ำได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป พร้อมๆ กับความเจริญทำให้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางสัญจร มีการตัดถนนขึ้นใหม่เพื่อขจัดปัญหาจราจรแออัด ซึ่งส่งผลให้อาชีพที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
คือ ร้านค้าขนมจาก พลอยมีผลกระทบตามไปด้วย อีกสาเหตุหนึ่ง คือร้านค้าต่างๆ
ต้องปิดตัวเองลง
เนื่องมาจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นได้นำสูตรขนมจากที่เลื่องลือชื่อนี้ไปดัดแปลง
และทำเป็นรูปแบบขนมของฝากนักท่องเที่ยวในสถานที่นั้น
ทำให้ขนมจากเมืองปากน้ำจึงไม่ใช่ของฝากที่หาซื้อได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว
บรรณานุกรม
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และคณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ.
(2544).วัฒนธรรม
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เอกลักษณ์และภูมิปัญญา
จังหวัดสมุทรปราการ.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
สถานที่ท่องเที่ยว:เมืองโบราณ.
ค้นเมื่อวันที่ 1
กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.paknam.com/thai/ancient-siam.html
คำขวัญจังหวัดสมุทรปราการ.
ค้นเมื่อวันที่ 1
กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.tourthai.com/province/samut_prakan/
ประวัติความเป็นมา:
สมุทรปราการ.
ค้นเมื่อวันที่ 1
กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.tourthai.com/province/samut_prakan/
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท.
ค้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.thaiweekender.com
ฟาร์มจระเข้. ค้นเมื่อวันที่
4 กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.moohin.com/trips/samutprakan/crocodilefarm/
พระเจดีย์กลางน้ำ
งานใหญ่จังหวัดสมุทรปราการ.
ค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=508901
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ.
ค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://thai.tourismthailand.org/attraction/samutprakan-11-3309-1.html
ประเพณีรับบัว.
ค้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553,
จาก http://www.thaigoodview.com
ของฝากประจำจังหวัด:
ปลาสลิดบางบ่อ.
ค้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.nairobroo.com
ประเพณีสงกรานต์พระประแดง.
ค้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://travel.sanook.com/trip/trip_09783.php
ของฝากประจำจังหวัด:ขนมจาก.
ค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.nairobroo.com
ขนมจากของปากน้ำ.
ค้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.m-culture.go.th/samutprakan/index.php
ช้างสามเศียรที่ใหญ่ที่สุดในโลก.
ค้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://atcloud.com/stories/67136
วัดบางพลีใหญ่ใน.
ค้นเมื่อวันที่ 22
กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.paknam.com/thai/wat-bang-phli-yai-nai.html
วัดบางพลีใหญ่.
ค้นเมื่อวันที่ 22
กุมภาพันธ์ 2553, จาก http://www.moohin.com/004/004k010.shtml
ตลาดน้ำบางพล.
ค้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์
2553, จาก http://www.photoontour.com
ภาพประกอบ
สัญลักษณ์จังหวัดสมุทรปราการ. ค้นเมื่อวันที่
24 สิงหาคม 2553, จาก http://www.paknam.com/thai/samut-prakan-song.html
วัดบางพลีใหญ่ใน. ค้นเมื่อวันที่
24 สิงหาคม 2553, จาก http://www.prakan2.com/service/index.php/2010-04-14-00-53-15
หลวงพ่อโต. ค้นเมื่อวันที่
24 สิงหาคม 2553, จาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16695
รวบรวมและเรียบเรียงโดย :
วิมล ชีวะธรรม
ฝ่ายห้องสมุดวิทยาเขต
บางนา
สนเทศน่ารู้
ของดีประจำจังหวัด
ขึ้นด้านบน
|