ไม้ขีดไฟแสงประกายในอดีต

ภาพจาก หนังสือเรื่อง สิ่งพิมพ์คลาสสิค
ประวัติไม้ขีดไฟ
ไม้ขีดไฟกำเนิดขึ้นในค.ศ.1827 โดยนักเคมีชาวอังกฤษชื่อจอห์น
วอล์คเกอร์ ไม้ขีดที่ทำขึ้นทำจากเศษไม้จุ่มปลายด้วยส่วนผสมของแอนติโมนีซัลไฟด์
โปตัสเซียมคลอเรต และกาวจากยางไม้
เมื่อเอาไม้ขีดที่ทำขึ้นมานั้นไปขีดกับอะไรที่มีผิวที่หยาบๆ
เช่น กระดาษทราย ก็จะทำให้เกิดการเสียดสีจนเกิดประกายไฟ
ไม้ขีดแบบนี้เรียกกันว่า ลูซิเฟอร์ ผู้ถือแสงสว่าง
แต่ไม้ขีดที่มีส่วนผสมชนิดนี้มีปัญหาตรงที่ขีดติดบ้างไม่ติดบ้าง
ต่อมาใน ค.ศ.1930 ชาร์ลส์ โซเรีย
ชาวฝรั่งเศสได้ผลิตไม้ขีด ไฟที่ปลายหุ้มด้วยฟอสฟอรัสเหลืองซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้ดี
แต่ฟอสฟอรัสเหลืองเป็นวัตถุมีพิษ
ทำให้คนในโรงงานไม้ขีดป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า Phossy Jaw
ซึ่งโรคนี้มีอาการร้ายแรงถึงขั้นพิการและเสียชีวิตเลยก็ว่าได้
ต่อมาในปี ค.ศ.1940
มีการค้นพบฟอสฟอรัสแดงที่มีความปลอดภัยในการทำไม้ขีดไฟขึ้น
โดยไม้ขีดไฟชนิดนี้จะจุดได้ก็ต่อเมื่อขีดลงบนพื้นที่ที่เตรียมไว้เท่านั้น
ส่วนหัวไม้ขีดนั้นจะถูกหุ้มด้วย โปตัสเซียมคลอเรต
และข้างกล่องไม้ขีดไฟจะถูกฉาบด้วยฟอสฟอรัสแดง
เมื่อโปตัสเซียมคลอเรต
ตกกระทบหรือเสียดสีกับฟอสฟอรัสแดงจะเกิดปฏิกิริยาความร้อนมากพอที่จะทำให้จุดไฟติดได้
ส่วนวัสดุก็ใช้ทำก้านไม้ขีดไฟได้ด้วย เช่นด้วยเคลือบขี้ผึ้ง
และกระดาษแข็งเคลือบขี้ผึ้ง แต่ไม้เป็นวัสดุที่ใช้ทำก้านไม้ขีด
ได้ดีที่สุด ไม้สำหรับทำก้านไม้ขีดควรจะเป็นไม้สีขาว
ไม่มีกลิ่น เนื้อไม้ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไปนิยมใช้ไม้มะยมป่า
ไม้มะกอก ไม้อ้อยช้าง ไม้ปออกแตก เป็นต้น
ก่อนจุ่มทำหัวไม้ขีดจะต้องเอาปลายก้านไม้ขีดที่จะติดหัวนั้นไปจุ่มขี้ผึ้งพาราฟินก่อน
หากเนื้อไม้แข็งเกินไปก็จะไม่ดูดซึม พาราฟิน พาราฟิน
นี้จะเป็นตัวส่งผ่านจากหัวไม้ขีดไปสู่ก้านไม้ขีดหากไม่มีพาราฟินพอขีดไฟติดปุ๊บไฟก็จะดับปั๊บ
และหากเนื้อของไม้อ่อนไปก้านไม้ขีดก็จะไม่คงรูปเป็นก้านตรงได้

ภาพจาก หนังสือเรื่อง สิ่งพิมพ์คลาสสิค
ไม้ขีดไฟในประเทศไทย
ไม้ขีดไฟยุคแรกๆ ที่เข้ามาขายในเมืองไทยเข้ามาประมาณกลางสมัยรัชกาลที่ 4
โดยเป็นไม้ขีดจากประเทศสวีเดนที่มีบาทหลวงมาเผยแพร่ศาสนานำเข้ามา
และต่อมาก็เป็นไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นที่มีการจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย
ซึ่งไม้ขีดไฟเหล่านี้จะมีตราและสลากบนกล่องไม้ขีดไฟมากมายโดยนักสะสมไม้ขีดไฟจะเรียกฉลากไม้ขีดไฟนี้ว่า
"หน้าไม้ขีดไฟ"
นักสะสมที่รวบรวมสะสมหน้าไม้ขีดไฟนิยมเก็บไว้ในสมุดบัญชีเล่มใหญ่ๆแล้วปิดกาวหรือเจาะกระดาษสอดมุมไว้
ไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นนั้นจะมีมากกว่าประเทศอื่นโดยจะมีรูปหน้าไม้ขีดหลายรูปแบบ
ได้แก่ รูปคน รูปสัตว์ รูปผลไม้ รูปดอกไม้ และจะมีคำว่า "เมด อิน
เจแปน" เป็นภาษาอังกฤษบอกไว้ข้างใต้หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของหน้าไม้ขีดเพื่อบ่งบอกว่าไม้ขีดไฟนั้นมาจากประเทศญี่ปุ่น
และในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ญี่ปุ่นก็ได้ทำ หน้าไม้ขีดไฟเป็น
ภาพวาดของรัชกาลที่ 5 ทรงม้าในหลายๆ แบบ
โดยใต้รูปจะเขียนเป็นภาษาไทย ว่า
"พระรบ" ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเป็นคำว่า "พระรูป" มากกว่าแต่เนื่องจากญี่ปุนคงเผลอลืมใส่
ป ปลา แทน บ ใบไม้ และลืมใส่ สระ อู หรือไม่งั้นก็เพราะชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยจะรู้ภาษาไทยมากมายเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ยังมีรูปทหารยืนถือธงช้างอยู่ข้างพระองค์และรูปช้างสองเชือกหันหน้าเข้าหาพระจุลมงกุฎหรือพระเกี้ยว
ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5
รูปบนหน้าไม้ขีดไฟหรือที่เรียกกันว่าศิลปะบนกลักไม้ขีดไฟยังมีอีกมาก
ซึ่งรูปวาดเหล่านี้ก็อาจจะวาดเพื่อการโฆษณาสินค้า
หรือมีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
ต่อมาในรัชกาลที่ 7
คนไทยก็สามารถผลิตไม้ขีดไฟเอง
ได้ทำให้การนำเข้าไม้ขีดต่างประเทศลดลงในที่สุด
โรงไม้ขีดในไทยยุคต้นๆ ได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด
ผลิตตรานกแก้ว
ตรารถกูบ , บริษัทตังอาจำกัด
ผลิตตรามิกกี้เม้าท์
ตราแมวเฟลิกซ์, บริษัทไทยไฟ ผลิตตรา 24 มิถุนา
เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม
เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
บริษัทเอเชียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่
ซึ่งการผลิตหน้าไม้ขีดนี้ก็เพื่อให้ประชาชนที่ใช้ไม้ขีดไฟได้รับความรู้อีกทางหนึ่ง
บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่
ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทย ผลิตตรา ธงไตรรงค์
ตราพระยานาค ซึ่งมีขายมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ภาพจาก การจำลองเหตุการณ์จริง "การใช้งานไม้ขีดไฟ"
ไม้ขีดไฟกับโลกในปัจจุบัน
สถานการณ์ของไม้ขีดไฟในปัจจุบันเริ่มลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นโรงงานการผลิตไม้ขีดไฟ
หรือสินค้าที่ผลิตออกมาจำหน่าย
ซึ่งหากหาสาเหตุของการลดลงนี้ก็คงไปพ้นคำว่า "เทคโนโลยี"
โดยในปัจจุบันสังคมที่เราอยู่กันนี้เป็นยุค ไอที ยุคการสื่อสาร
ยุคเทคโนโลยี และเป็นที่แน่นอนว่าสินค้าต่างๆ
ที่ผลิตมาอุปโภค
บริโภค ก็ต้องสนองความต้องการของคนในยุคนี้ให้ดีที่สุด
ความต้องการในข้อนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย
ทำให้ไม้ขีดไฟที่มีข้อจำกัดในการใช้ในบางสถานการณ์เช่นไม้ขีดไฟที่ชื้นจากการเปียกน้ำจะใช้ไม่ได้
นี่ก็คือข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของไม้ขีดไฟในการพกพาไปตามสถานที่ต่างๆ
ได้สะดวก
เทคโนโลยี เลยมีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิตสินค้า มาใช้แทน
ไม้ขีดไฟ และนั่นก็คือ "ไฟแช็ค" นั่นเอง
ซึ่งไฟแช็คนี้มีความสะดวกสบายกว่าไม้ขีดไฟ
สามารถสนองตอบต่อความต้องการของคนในยุคนี้ได้ดีกว่า
ไม้ขีดไฟซึ่งกำลังจะกลายเป็นตำนานไปแล้วในไม่ช้า

บรรณานุกรม
เอนก
นาวิกมูล. 2533. สิ่งพิมพ์คลาสสิค. กรุงเทพมหานคร:วิคตอรี่เพาเวอร์พอยท์.
"ตำนานไม้ขีดไฟ" http://www.m-culture.go.th/culture01/library/libinformation/view-libinformation.php?courseid=Omk=&library_id=231&lang=th&pid=0&title=%E0%BB%D4%B4%B5%D3%B9%D2%B9%E4%C1%E9%A2%D5%B4%E4%BF%E4%B7%C2
"ตำนานไม้ขีดไฟ" http://www.napolpum.com/2/
"ตำนานไม้ขีดไฟ" http://www.tongmatchbox.com/index2.htm
รูปภาพ
เอนก
นาวิกมูล. 2533. สิ่งพิมพ์คลาสสิค. กรุงเทพมหานคร:วิคตอรี่เพาเวอร์พอยท์.
ถ่ายภาพจำลองเหตุการณ์จริง : น.ส.
เยาวลักษณ์ พัตรภักดิ์
รวบรวมข้อมูลโดย: น.ส. โศธิดา ศิริอำนวยศิลป์ นักศึกษาช่วยงาน ปีงบประมาณ 2551 งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ
สนเทศน่ารู้
ขึ้นด้านบน
|