สนเทศน่ารู้ : กบ


กบไทยไปนอก

                 กบเป็นสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำ ที่ชาวไทยรู้จักกันดี และนิยมบริโภคกันมาช้านาน เมื่อก่อนในธรรมชาติยังมีกบให้จับมาใช้บริโภคอย่างไม่ขาดแคลนนัก ดังจะเห็นได้ชัดในช่วงของฤดูฝน ปริมาณของกบที่จับมาวางขายในท้องตลาดมีจำนวนมากเพียงพอกับความต้องการ
                 ปัจจุบันนี้ คนนิยมบริโภคกบเป็นอาหารกันมากขึ้นตามบ้าน ร้านอาหารและภัตตาคาร มีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เยอรมัน ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเห็นได้จากรายการอาหารของภัตตาคารชั้นนำในต่างประเทศ ขณะที่ความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศขยายตัวสูงขึ้น ปัจจุบันปริมาณของกบมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดดังกล่าว และไม่สามารถสนองความต้องการของตลาด ในปริมาณที่สม่ำเสมอได้เนื่องจากปริมาณของกบที่จำหน่ายส่วนใหญ่ยังได้จากการจับตามธรรมชาติ ซึ่งนับวันก็จะยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะว่าการจับกบมาบริโภคโดยไม่คำนึงถึงฤดูกาล และสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่เอื้ออำนวยต่อการขยายพันธุ์ของกบได้ถูกบุกรุกหรือทำลายโดยมนุษย์เพิ่มขึ้นทุกปี จึงนับว่ามีโอกาสลงทุนที่ดีในการเลี้ยงกบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ และเพื่อการส่งออกไปจำหน่ายยังภัตตาคารในต่างประเทศ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี แทนการจับกบตามธรรมชาติมาส่งตลาดซึ่งหายากและขาดแคลน

ตลาดในประเทศ

                 กบเป็นอาหารที่นิยมบริโภคกันมาก เพราะเนื้อกบเป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณค่าสูง สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง ถ้ากบมีขนาดใหญ่ จะนำมาแยกเอาส่วนขาหลัง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักตัวแล้วส่งไปจำหน่ายตามร้านอาหาร และภัตตาคาร สำหรับหนังกบนิยมนำมาตากแห้งและทอดกรอบ และยังสามารถนำหนังกบไปทำกระเป๋า รองเท้า เครื่องดนตรี และของชำร่วยต่างๆ ส่วนหัว อวัยวะระบบทางเดินอาหาร และกระดูกที่ตัดชำแหละแล้ว นำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ ( ทั้งสดและป่นแห้ง ) ปริมาณการบริโภคในประเทศไม่สามารถประมาณการได้ ราคาจำหน่ายในฤดูฝนจะราคาถูกกว่าในฤดูแล้ง

ตลาดต่างประเทศ

                 ได้มีบริษัทเอกชนรวบรวมซื้อกบจากแหล่งต่างๆเพื่อส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย คือ ฮ่องกง นำเข้ากบประมาณร้อยละ 99.6 ของมูลค่าส่งออกกบของไทย ส่วนประเทศที่นำเข้าเนื้อกบที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม สหรัฐอาหรับเอมิเรต และเยอรมันตะวันตก การส่งออกจะทำทั้งในสภาพกบที่ยังมีชีวิตที่มีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 200 - 300 กรัม และในรูปของขาหลังกบแช่แข็งที่มีขนาดน้ำหนัก 25 - 30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวทั้งหมด ส่วนหนังกบก็มีการส่งออกด้วยเช่นกัน

ประโยชน์ทางตรงของการเลี้ยงกบ

                 1. เป็นอุปกรณ์ทางการศึกษาทางการแพทย์ การวิจัย ทางชีววิทยา และการทดลองทางวิทยาศาสตร์
                 2. ให้ความเพลิดเพลิน
                 3. เป็นอาหารและเพิ่มพูนรายได้ให้กับครอบครัวและประเทศชาติ
                 4. ใช้ประโยชน์จากหนังและอวัยวะอื่น ๆ

ประโยชน์ทางอ้อม

                 1. ได้ประโยชน์จากระบบนิเวศวิทยา โดยช่วยทำลายแมลง ศัตรูพืช ยุง บุ้ง ฯลฯ
                 2. ใช้กระดูกทำปุ๋ย

กบในประเทศไทย

                 กบที่พบในประเทศไทยมี 38 ชนิด แต่ที่พบทั่วๆไป มีดังนี้ คือ
                 1. กบบัว มีขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อน ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 2 นิ้ว น้ำหนัก ตัวประมาณ 30 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
                 2. กบนา มีขนาดกลาง สีน้ำตาลปนดำ ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 4 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 6 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
                 3. กบจาน มีขนาดใหญ่ สีน้ำตาลปนเขียว ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 4 ตัว ต่อหนึ่งกิโลกรัม
                 4. กบภูเขา หรือ เขียดแลว เป็นกบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ชาวบ้านนิยมจับมาบริโภคกันมาก โดยเฉพาะที่แม่ฮ่องสอน กบภูเขาอยู่ใน
                     สภาพธรรมชาติมีปริมาณลดน้อยลงทุกที

กบภูเขา : เขียดแลว (Asiatic Giant Frog)

                 กบภูเขาเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ใหญ่มาก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rana blythii Boulenger จัดอยู่ใน Class Amphibia Order Salientia Ranidae ตลอดแนวเทือกเขาทางภาคเหนือ โดยเฉพาะแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอนลัดเลาะเรื่อยมาทางใต้ตามแนวขุนเขาตะวันตกบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี มาจนถึงภาคใต้ของประเทศไทยต่อไปยังมาเลเซีย มีสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดเดียวกันแล้ว จัดได้ว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก สัตว์ที่ว่านี้คือ กบภูเขาหรือเขียดแลว ( กบตัวใหญ่ที่สุดในโลกคือ กบโกไลแอธ พบที่แคเมอรูน และอิเควตอเรียลกินี ทางชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ตัวใหญ่ที่เคยจับได้มีน้ำหนักถึง 3,306 กรัม ) ชาวบ้านนิยมจับมาเพื่อบริโภคกันมากโดยเฉพาะที่แม่ฮ่องสอน กบภูเขาที่อยู่ในสภาพธรรมชาติเหลือน้อยลงทุกที
                 กบภูเขาได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่สอง " …ห้ามล่าเว้นแต่เพื่อการศึกษาหรือใช้เพื่อการวิจัยทางวิชาการ เพื่อกิจการสวนสาธารณะโดยได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมป่าไม้ "
                 ปัจจุบัน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางชีววิทยาของกบภูเขาเพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ โดยมี ผศ. ผุสตี ปริยานนท์ เป็นหัวหน้าโครงการ
                 กบภูเขามีลักษณะลำตัวอ้วน หัวมีลักษณะรูปไข่ มีความยาวมากกว่าความกว้าง ปากค่อนข้างแหลมเมื่อเทียบกับกบชนิดอื่น รูจมูกค่อนไปทาปลายสุดของส่วนจมูกมากกว่าส่วนตา แผ่นหูเห็นชัดอยู่ทางด้านหลังของตา ลักษณะสีของลำตัวทางด้านหลัง จะมีสีน้ำตาลปนแดงไปจนถึงสีน้ำตาลคล้ำ แต่บางตัวจะมีลายหรือจุดที่ใต้ลำคอ เมื่อโตเต็มที่ผิวหนังจะเรียบลื่น กบภูเขาที่มีขนาดเล็กอาจมีปุ่มหรือลายกระจายอยู่ทั่วไป ริมฝีปากมีลายขีดเล็กๆ สีดำ ระหว่างตากับรูจมูกมีแถบดำเล็กๆ แขนและขามีลายสีเข้มพาดขวาง ในบางแหล่งจะพบกบภูเขามีเส้นสีขาวพาดยาวกลางหลังจากปากถึงก้นตลอดลำตัว กบตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่ากบตัวเมีย และเมื่อโตเต็มที่กบตัวผู้จะมีถุงลม เพื่อช่วยในการส่งเสียงร้องเรียกตัวเมียเพื่อที่จะผสมพันธุ์…

อ้างอิง

จิราภรณ์ ชีวะปรีชา “กบไทยไปนอก” ว. ส่งเสริมการลงทุน 2,1 ( ม.ค. 34 ) 25 – 27
“ ชีวิตและความตาย “ สารคดี 50,4 ( เม.ย. 32 ) 125 – 130
เอกสารคำแนะนำ “ การเลี้ยงกบ “ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2521.

รวบรวมข้อมูลโดย : ฝ่ายวารสารและเอกสาร

  สนเทศน่ารู้  ขึ้นด้านบน 

ปรับปรุงล่าสุด : 25 ธันวาคม 2549 19:37:26 น.