
ตะเกียบอนามัย
ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว วัฒนธรรมในการกินอาหาร
ของแต่ละชนชาติ มีความแตกต่างกัน ชาวยุโรปและอเมริกัน ใช้มีด
และช้อนในการกินอาหาร แต่มีหลายชนชาติใน
แอฟริกา อาหรับ และ
เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์
รวมทั้งอินเดีย นิยมกินข้าวด้วยมือ ในขณะที่ชาติในเอเชีย เช่น
จีน
ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ใช้ตะเกียบในการกินอาหาร
และคนในชาติทั้งสามกลุ่มนี้
ต่างก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมในการกินของตนไว้ได้เป็นอย่างดีจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
วัฒนธรรมการกินทั้งสามแบบนี้
การกินอาหารด้วยมือกลับถูกมองว่าไม่มีวัฒนธรรม
และอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นไปได้
ที่คนไทยยอมรับเอาวิธีการกินของชาวยุโรปมาใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5
แต่รับมาเพียงแค่ช้อน-ส้อมเท่านั้น
ไม่รวมถึงการใช้มีดเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย และนับตั้งแต่นั้นมา
ช้อน-ส้อม ก็เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในวัฒนธรรมการกินของคนไทย
ตะเกียบนั้น เข้ามาในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานกว่าช้อน-ส้อม
แต่ไม่สามารถเข้าถึงในครัวของไทยได้ ช้อน-ส้อมซึ่งเป็น
วัฒนธรรมการกินของชาวยุโรป กลับได้รับความนิยมมากกว่า
และยิ่งในชนบทด้วยแล้ว ชาวบ้านไม่นิยมใช้ตะเกียบในการกินอาหาร
ส่วนประเทศลาวซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับจีน
ก็ไม่ได้รับเอาวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบของจีนมาใช้
แต่กลับนิยมใช้มือและช้อนในการกินมากกว่า
จากหลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า
ตะเกียบไม่ใช่เครื่องใช้ประกอบในการกินอาหารของชาวไทย และลาว
เนื่องจากว่า
ไทยไม่ได้รับเอาตะเกียบเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมการกินเหมือนกับช้อนและส้อม
แต่ตะเกียบนั้นใช่ว่าจะไม่มีความสำคัญเสียเลยก็ไม่ได้
เนื่องจากว่าอาหารจีนได้เข้ามาแทรกอยู่ในวิถีชีวิตของไทยเราด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ตะเกียบเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่
จนดูเหมือนกับว่า
จะใช้ตะเกียบเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่เท่านั้น
ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า ตะเกียบเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบ
ในวัฒนธรรมการกินอาหารของคนไทย ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก
ตะเกียบมีบทบาทสำคัญ ในวัฒนธรรมการกินของชาวจีน นอกจากนี้
เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม
ต่างก็มีวัฒนธรรมการกินด้วยตะเกียบเช่นเดียวกัน
ทั้งสามชาตินี้ต่างรับเอาวัฒนธรรมตะเกียบของจีนไปใช้
ด้วยการดัดแปลงและพัฒนา
จนกระทั่งตะเกียบกลายเป็นวัฒนธรรมการกินประจำชาติของตนเอง
ที่มีความผิดแผกและแตกต่างไปจากจีนซึ่งเป็นชนชาติผู้ให้กำเนิดตะเกียบ

|
ตะเกียบมาจากประเทศจีน |

|
ตะเกียบ พร้อมหมอนรอง หนี่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล |

|
ตะเกียบทำด้วย โลหะ จากประเทศเกาหลี |

|
ตะเกียบจากประเทศเดนมาร์ก |

|
ตะเกียบ ทำจาก กระดูกตัวจามรี จากประเทศทิเบต |
ประวัติศาสตร์ของตะเกียบ
ในสมัยราชวงศ์ถัง นักการศึกษาชื่อ ขงอิ่งต๋า
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราคัมภีร์ขงจื๊อ มีชีวิตอยู่เมื่อปี ค.ศ.
574 - 648 ได้สนองรับคำสั่งของพระเจ้าถังไท้จง เรียบเรียง “ อู่จิงเจิ้งอี้
” ( Wujing Zhengyi ) หรือ “ An Exact Implication of the Five
Classics ”
สำหรับใช้เป็นบรรทัดฐานในการสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการ
เขาได้พูดถึงธรรมเนียมและมารยาทในการกินข้าวของคนจีนในสมัยนั้นว่า
“ มารยาทการกินข้าวของคนโบราณจะไม่ใช้ตะเกียบ แต่ใช้มือ
เมื่อกินข้าวร่วมกับคนอื่น ควรชำระมือให้สะอาดหมดจด
อย่าให้ถึงเวลากินข้าวแล้วเอามือถูใบสน หยิบข้าวกิน
เกรงจะเป็นที่ติฉินของคนอื่นว่าสกปรก ”
คนโบราณที่ ขงอิ่งต๋า กล่าวถีงคือคนในยุคขงจื๊อ
จึงมีความเชื่อกันว่า คนจีนน่าจะรู้จักใช้ตะเกียบกันมา
เป็นเวลานานมากกว่า 2,000 ปี
ตะเกียบใช้สำหรับคีบผักต้มจากหม้อน้ำแกงมาไว้ในชามข้าว
จากนั้นจึงเอามือหยิบข้าวกิน ถ้ามีใครใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก
จะถือว่าเป็นการเสียมารยาทมาก
สิ่งใดที่บรรพบุรุษสร้างไว้หรือกำหนดไว้ จะไม่มีผู้ใดกล้าฝ่าฝืน
คนจีนจึงรักษาธรรมเนียมการกินด้วยมือ อยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปี
จีนเริ่มใช้ตะเกียบตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง
แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า
คนจีนใช้ตะเกียบกินข้าวกันอย่างแพร่หลายหลังยุคราชวงศ์ฮั่น
ประมาณในคริสต์ศตวรรษที่ 3 คนในสมัยนั้นเรียกตะเกียบว่า
“ จู้ ” ( Zhu ) ต่อมาเปลี่ยนเป็น
“ ไขว้จื่อ ” ( Kuaizi )
เหตุผลก็เป็นเพราะว่าชาวเรือ ถือคำว่า “ จู้ ”
ที่ไปพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า “ หยุด ”
ซึ่งไม่เป็นมงคลต่อการเดินเรือ จึงเปลี่ยนไปใช้
“ ไขว้จื่อ ” แทน
“ จู้ ” คนแต้จิ๋วออกเสียง
“ จู้ ” ว่า “ ตื่อ ” ( Del )
และในปัจจุบันก็ยังคงใช้กันอยู่
การที่คนจีนใช้ตะเกียบในการกินอาหารมาเป็นเวลานานนับพันปี
จึงมีความรู้คำสอนไว้มากมายจนกระทั่งกลายมาเป็น วัฒนธรรมตะเกียบ
ซึ่งมีตั้งแต่การจับตะเกียบที่ต้องพิถีพิถันกันมาก
จนกระทั่งถึงข้อห้ามต่างๆ อาทิ เช่น

-ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่
การวางตะเกียบไม่เสมอกัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
คนจีนถือคำว่า “ชางฉางเหลียงต่วน ” ความหมายตามตัวอักษรนั้น
หมายถึง สามยาวสองสั้น คำนี้ คนจีนมักหมายถึง ความตาย
หรือความวิบัติฉิบหาย
ดังนั้นการวางตะเกียบที่ทำให้เหมือนมีแท่งไม้สั้นๆยาวๆ
จึงไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด
-ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น หรือถือไว้ในลักษณะที่ให้นิ้วชี้
ชี้คนอื่นที่อยู่ร่วมโต๊ะ แต่การใช้นิ้วชี้ผู้อื่นคนไทยก็ถือว่า
ไม่สุภาพเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะแต่คนจีนเท่านั้น
-ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ
กิริยานี้เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างยิ่ง
ถ้ายิ่งดูดจนเกิดเสียงดังด้วยแล้ว ถือเป็นกิริยาที่ขาดการอบรมที่ดี
-ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม
เพราะมีแต่ขอทานเท่านั้นที่จะเคาะถ้วยชาม ปากก็ร้องขอความเมตตา
เพื่อชวนให้เวทนาสงสาร เรียกร้องความสนใจให้บริจาคทาน
-ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร
โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด
ถือว่าเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง
ควรใช้ตะเกียบคีบอาหารที่ต้องการนั้นทันที
-ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การกระทำเช่นนี้เปรียบเหมือน
พวกโจรสลัดขุดสุสาน เพื่อหาสมบัติที่ต้องการ
ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ
-ห้ามคีบอาหารให้น้ำหยดใส่อาหารจานอื่น
เมื่อคีบอาหารได้แล้วจะต้องให้สะเด็ดน้ำสักนิด
เพื่อไม่ให้น้ำหยดและอย่าทำอาหารที่คีบอยู่หล่นใส่โต๊ะ
หรืออาหารจานอื่น
การทำเช่นนี้ถือเป็นกิริยาที่เสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง

-ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง คือถือปลายตะเกียบขึ้น
ใช้ช่วงบนตะเกียบคีบอาหาร กิริยานี้น่าดูแคลนที่สุด
เพราะถือว่าไม่ไว้หน้าตนเอง เหมือนหิวจนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
-ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร
ถือว่าเป็นการเหยียดหยามน้ำใจกัน
ไม่ต่างอะไรจากการชูนิ้วกลางให้ของฝรั่ง
-ห้ามปักตะเกียบไว้ในชามข้าว
เพราะดูเหมือนปักธูปในกระถางไหว้คนตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าข้าวให้คนอื่นแล้วปักตะเกียบไว้ในชามข้าวส่งให้
จะถือว่าเป็นการสาปแช่ง
-ห้ามวางตะเกียนไขว้กัน
คนจีนในปักกิ่งถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกัน
ทั้งแก่ตนเองและเพื่อนร่วมโต๊ะ
-ห้ามทำตะเกียบตกพื้น เพราะเสียมารยาทอย่างยิ่ง
จะทำให้วิญญาณที่หลับสงบอยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ
ถือว่าเป็นสิ่งอกตัญญู
จะต้องรีบเก็บตะเกียบคู่นั้นวาดเครื่องหมายกาก –บาท
บนจุดที่ตะเกียบตกทันที พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ
-วิธีถือตะเกียบที่ถูกต้อง
จะต้องถือตะเกียบไว้ตรงง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้
ให้อีกสามนิ้วที่เหลือคอยประคองตัวตะเกียบไว้
และต้องถือให้เสมอกัน
เมื่ออิ่มแล้วต้องวางตะเกียบขวางไว้กลางชามข้าวเสมอ. |